วันที่ 6 มกราคม 2567
เพลง Banda
คำนี้รับมาจากภาษาเปอร์เซียนโบราณ ความหมายมีรากตรงกับคำภาษาไทยว่า “พันธะ” หมายถึง การผูก ในกรณีของเพลงนี้ คำว่า “banda” มีความหมายที่ขยายจากคำว่าผูกอีกทีหนึ่งคือหมายถึงทาสหรือผู้รับใช้ ปัจจุบันแม้ว่าคำนี้ถูกใช้ในความหมายกว้างขึ้น คือหมายถึงผู้ชายทั่ว ๆ ไป คล้ายคำว่า admi หรือ purush แต่ในเพลงนี้ใช้ตามความหมายทั้งเก่าและใหม่ผสมกัน ดังในเนื้อเพลงที่ว่า
Puchhega itihaas kabhi kya banda hai yeh
ประวัติศาสตร์จะถามว่าเขาคือคนเช่นไร
Rabb ka banda hai yeh
เขาคือคนของพระเจ้า
Sabka banda hai yeh
เขาคือคนของมวลชน
เพลงนี้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องใหม่เอี่ยมที่ชื่อ Sam Bahadur (แซมผู้กล้าหาญ) เพิ่งเข้าฉายไปเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2023 ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวถ่ายทอดเรื่องราวของ จอมพลแซม มาเนกชอว์ (Field Marshal Sam Manekshaw) ผู้ที่เราจะเล่าชีวประวัติให้ฟังในวันนี้ กำกับโดยเมฆนา กุลซาร์ (Meghna Gulzar) นำแสดงโดยวิกกี้ เกาศัล (Vicky Kaushal) ผู้รับบทจอมพลแซมได้อย่างดุดันสง่างามน่าเกรงขาม ภาพยนตร์ Sam Bahadur ถือว่าประสบความสำเร็จมากอีกเรื่องหนึ่ง ลงทุนไป 550 ล้านรูปี จนถึงทุกวันนี้รายได้ทั่วโลกอยู่ที่เกือบ 1,200 ล้านรูปีแล้ว
ก่อนเข้าเนื้อหาหลักของรายการ ตามธรรมเนียมปฏิบัติเราขอถือโอกาสที่ตอนนี้ออกอากาศเป็นตอนแรกของปี พ.ศ. 2567 กล่าวสวัสดีปีใหม่ต่อผู้ฟังทุกท่าน พร้อมกันนี้เราทั้งสองขออวยพรให้ทุกท่านประสบความสุขและความเจริญก้าวหน้า ปราศจากอุปสรรคตลอดทั้งปีนี้และตลอดไป
สำหรับปี พ.ศ. 2567 หรือ ค.ศ. 2024 นับว่าเป็นปีที่น่าจับตามองสำหรับอินเดีย เพราะอินเดียได้ตั้งเป้าทางเศรษฐกิจไว้หลายข้อ ข้อสำคัญที่สุดคืออาจจะแซงเยอรมนีขึ้นมาเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของโลก ซึ่งเร็วกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดการณ์ไว้
ในขณะที่ผลผลิตทางการเกษตรของอินเดียก็กำลังเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 700 ล้านตัน การเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียก็กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม อีกข้อสำคัญที่น่าจะเกิดขึ้นคือ อาจจะมีการเจรจากับปากีสถานว่าด้วยประเด็นมลรัฐชัมมูและกัศมีระ (Jammu and Kashmir) ซึ่งเป็นชนวนสงครามระหว่างทั้งสองชาติมาอย่างยาวนาน และแน่นอนเกี่ยวข้องกับหัวเรื่องของเราในวันนี้โดยตรง
จอมพลแซม มาเนกชอว์ หรือฉายาว่า แซม บาฮาดูร (แซมผู้กล้าหาญ) เป็นผู้นำกองทัพอินเดียในสงครามระหว่างอินเดียกับปากีสถานในปี ค.ศ. 1971 ซึ่งกองทัพอินเดียกับปากีสถานปะทะกันในช่วงสงครามปลดแอกบังกลาเทศ ณ พื้นที่ซึ่งขณะนั้นเป็นปากีสถานตะวันออก
จอมพลมาเนกชอว์ไม่เพียงแต่เป็นแม่ทัพในสงครามครั้งนั้น เขายังเป็นทหารในกองทัพอินเดียคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งยศถึงขั้นจอมพล (Field Marshal) ซึ่งเป็นยศทหารขั้นสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ มาเนกชอว์รับราชการทหารยาวนานถึง 4 ทศวรรษ เริ่มตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และผ่านสงครามใหญ่มา 5 ครั้ง
ชื่อเต็มของเขาคือ แซม ฮอร์มุสยี แฟรมยี ชมเศทยี มาเนกชอว์ (Sam Hormusji Framji Jamshedji Manekshaw) เกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1914 ณ เมืองอมฤตสระ (Amritsar) แคว้นปัญจาบ (Punjab) ในอินเดียช่วงก่อนได้รับเอกราช
บิดาของเขาชื่อ ฮอร์มิดซ์ มาเนกชอว์ (Hormidz Manekshaw) เป็นแพทย์ และมารดาชื่อ ฮิลลา (Hilla) นามสกุลเดิม เมห์ตา (Mehta) ทั้งสองคนเป็นชาวปาร์ซี
ในปี ค.ศ. 1903 ทั้งคู่ตั้งใจจะย้ายถิ่นฐานจากมุมไปไปเมืองละฮอร์ (Lahore ปัจจุบันอยู่ในฝั่งปากีสถาน) เพราะฮอร์มิดซ์มีเพื่อนอยู่ที่นั่นมาก และเขาตั้งใจจะประกอบอาชีพหมอที่นั่นสืบไป ทว่าระหว่างรถไฟจอดพักที่อมฤตสระ ฮิลลาเดินทางต่อไปไม่ไหวเนื่องจากเธอกำลังตั้งครรภ์และจะคลอดก่อนกำหนด ทั้งคู่ต้องให้นายสถานีพาไปหาหมอท้องถิ่น หลังจากที่ฮิลลาคลอดและฟักพื้นแล้ว ผลปรากฏว่าสองสามีภรรยาเกิดชอบเมืองอมฤตสระขึ้นมา เลยหยุดการเดินทางอยู่แค่นั้น ฮอร์มิดซ์ก็เปิดคลินิกที่นั่นหากินต่อไปเลย และภายในช่วงสิบปีนั้นก็ให้กำเนิดบุตรชายหญิงด้วยกันหกคน แซมเป็นคนที่ห้า และเป็นลูกชายลำดับที่สาม

เด็กชายแซมเป็นเด็กซุกซนและมีความเฉลียวฉลาดกล้าหาญ เขาเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นหมอเหมือนพ่อ อย่างไรก็ตาม ชีวิตเขาก็ต้องเกี่ยวข้องกับการทหารด้วยอย่างเลี่ยงไม่พ้น ทั้งนี้เพราะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮอร์มิดซ์พ่อของเขาได้ไปรับราชการทหารเสนารักษ์ของกองกำลังบริติชอินเดีย
ในเวลาต่อมาสรุปแล้วน้องชายคนสุดท้องที่ชื่อ ญามี (Jami) ต่างหากที่ได้เป็นหมอเหมือนพ่อและได้เป็นทหารเสนารักษ์ในกองทัพอากาศ ซึ่งในภายหลังก็กลายเป็นนายพลกองทัพอากาศที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้พี่ชายเท่าใดนัก
ทำไมแซมจึงไม่ลงเอยด้วยการเป็นหมอ ต้องเล่าย้อนถึงสมัยเด็ก หลังจากที่แซมจบหลักสูตรภาษาอังกฤษที่วิทยาลัยเชอร์วู้ด (Sherwood College) ด้วยวัย 15 ปี เขาก็ศึกษาต่ออีก 2 ปีจนสำเร็จประกาศนียบัตรชั้นสูงด้วยคะแนนยอดเยี่ยมด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หลังจากนั้นแซมก็ขอร้องพ่อให้ส่งไปเรียนหมอที่ลอนดอน พ่อปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าแซมอายุเพิ่ง 17 ปียังเด็กไป กอปรกับการที่ขณะนั้นพ่อกำลังส่งพี่ชายอีกสองคนคือฟาลี (Fali) และยาน (Jan) ที่กำลังเรียนวิศวกรรมศาสตร์อยู่ที่ลอนดอนทั้งคู่ แซมก็เลยได้แต่เพียงเข้าไปเรียนวิทยาลัยฮินดูสภาที่ปัญจาบอยู่ประมาณปีหนึ่ง
ในระหว่างนั้นเอง เป็นจังหวะที่กองกำลังบริติชอินเดียเพิ่งจะก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารขึ้นเพื่อฝึกทหารอินเดีย และเปิดรับสมัครชายฉกรรจ์อายุระหว่าง 18-20 ปีไปเข้าคอร์สเทรนระยะเวลา 3 ปี หนุ่มแซมกำลังอกหักจากการที่พ่อไม่ยอมส่งไปลอนดอน ก็เลยประชดพ่อด้วยการสอบเข้าโรงเรียนทหารเสียเลย และสอบติดเป็นอันดับ 6 จากบรรดา 15 คนที่ได้รับคัดเลือก ตอนนั้นเขาคงไม่ทราบว่าในอนาคตตนจะกลายเป็นทหารผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อินเดีย
แซม มาเนกชอว์ เริ่มเส้นทางการเป็นทหารของเขาหลังจากจบจากโรงเรียนนายร้อยทหาร โดยบรรจุเข้ากองทหารอังกฤษก่อนตามธรรมเนียม มาเนกชอว์ถูกส่งไปประจำการครั้งแรกในกองกำลังทหารสก็อตที่ละฮอร์ แล้วต่อมาจึงโยกย้ายไปพม่า ในช่วงต้นๆ เขายังได้รับหน้าที่เป็นล่ามประจำกองทัพ เพราะพูดได้หลายภาษาทั้งอังกฤษ ปัญจาบี ฮินดูสตานี คุชราตี และปัชโต
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพกำลังขาดแคลนคนมีฝีมือ มาเนกชอว์ผู้มากด้วยความสามารถจึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกองร้อย เขาได้แสดงความกล้าหาญออกมามากที่สุดในสมรภูมิเนินเขาพาโกดา (Pagoda Hill) ที่ซึ่งกองกำลังบริติชอินเดียปะทะกับกองกำลังจักรวรรดิญี่ปุ่น
เหตุการณ์สมรภูมิเนินเขาพาโกดา มาเนกชอว์นำกองกำลังเข้ายึดเนินเขาพาโกดา ซึ่งกว่าจะยึดได้ ทหารในบังคับก็ตายไปเกือบครึ่ง พอยึดเนินได้ ปรากฏว่ามาเนกชอว์ถูกปืนกลยิงเข้าที่หน้าท้องถึง 7 นัด อาการสาหัสเป็นตายเท่ากัน เขาถูกเพื่อนทหารแบกออกมาเป็นระยะทางถึง 14 ไมล์จากสมรภูมิ หมอแทบจะไม่รักษาเขาอยู่แล้วเพราะอาการสาหัสมาก แต่เพื่อนทหารก็บีบบังคับให้หมอช่วยรักษาโดยผ่ากระสุนทั้ง 7 นัดออกจากปอด ตับ และไต และยังตัดลำไส้เล็กบางส่วนออกไปด้วย มาเนกชอว์ยังคงมีอารมณ์ขันแม้จะอยู่ในสภาพร่อแร่ เขารอดชีวิตมาได้
นับจากนั้นเป็นต้นมาระหว่างช่วงปลายสงครามโลกและหลังสิ้นสุดสงครามโลก มาเนกชอว์ได้รับแต่งตั้งยศสูงขึ้นตามลำดับ และถูกส่งไปอบรมเพิ่มเติมด้วย
ระหว่างการแบ่งแยกประเทศอินเดียกับปากีสถานใน ค.ศ. 1947 มาเนกชอว์ก็ถูกย้ายไปอยู่กองพันทหารราบกุรข่าที่ 8 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บังคับกองพัน สู้รบในแคว้นกัศมีระอย่างกล้าหาญ ได้รับความดีความชอบและเลื่อนยศ รายละเอียดการรับราชการทหารของมาเนกชอว์ยังมีอีกมากมาย จะขอข้ามช่วงสงครามย่อยๆ เหล่านี้ไปเพราะเวลาอันจำกัด
กล่าวโดยสรุปว่า มาเนกชอว์มีส่วนเข้าร่วมรบในสงครามระหว่างอินเดียกับปากีสถานในปี ค.ศ. 1965 ด้วย และรวมถึงสงครามครั้งสำคัญใน ปี ค.ศ. 1971 ณ ปากีสถานตะวันออก ซึ่งในเวลาไม่นานต่อมาปลดแอกเป็นประเทศที่ชื่อว่า “บังกลาเทศ” ดังที่เราต่างรู้จักดี สงครามครั้งนี้เป็นครั้งที่สร้างชื่อเสียงให้เขามากที่สุด
สงครามอินเดีย-ปากีสถานในปี ค.ศ. 1971 ปะทุขึ้นจากสงครามปลดปล่อยบังกลาเทศ ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างปากีสถานตะวันตกที่มีอำนาจเหนือกว่า กับ ชาวปากีสถานตะวันออกที่เป็นประชากรส่วนใหญ่
ในปี ค.ศ. 1970 ชาวปากีสถานตะวันออกเริ่มเรียกร้องขอเป็นรัฐเอกราช แต่รัฐบาลปากีสถานไม่ยอมตอบสนองต่อข้อเรียกร้องเหล่านี้
เดือนมีนาคม ค.ศ. 1971 กองทัพปากีสถานได้ดำเนินการรุนแรงเพื่อควบคุมกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ซึ่งรวมถึงทหารและตำรวจจากปากีสถานตะวันออกจำนวนมาก ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน และผู้ลี้ภัยเกือบสิบล้านคนหลบหนีไปยังมลรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดียที่อยู่ติดกัน ในเดือนเมษายน อินเดียจึงตัดสินใจให้ความช่วยเหลือในการก่อตั้งประเทศใหม่ที่ชื่อว่าบังกลาเทศ
เวลานั้นเป็นสมัยการบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี ซึ่งในระหว่างการประชุมเธอได้ถามมาเนกชอว์ว่า เขาพร้อมออกศึกกับปากีสถานหรือไม่ มาเนกชอว์อธิบายความไม่พร้อมหลายประการ เช่น กองกำลังจำนวนมากประจำอยู่ที่อื่น อีกทั้งช่วงเวลาที่เป็นฤดูมรสุมอาจมีน้ำท่วม เป็นต้น หลังการประชุมมาเนกชอว์เตรียมลาออกเพราะความไม่สะดวกใจหลายประการ แต่อินทิราไม่ยอม มาเนกชอว์จึงขออินทิราว่า ถ้าให้เขานำทัพจะต้องมอบอำนาจให้เขาเป็นผู้กำหนดแผนและระยะเวลาของสงครามเอง อินทิราก็ตกลง
จากนั้นมาเนกชอว์ก็ดำเนินแผนการของตน เริ่มฝึกฝนกองกำลังติดอาวุธจากทหารท้องถิ่นชาวเบงกอลรักชาติในนาม มุกติ บาหินี (Mukti Bahini) จำนวนกว่า 750,000 นายเพื่อก่อกวนกองกำลังปากีสถานตะวันตกที่ประจำอยู่แถบนั้น เพื่อให้นำไปสู่สงคราม และแล้วสงครามก็เกิดขึ้นในวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1971 เมื่ออากาศยานของปากีสถานทิ้งระเบิดฐานทัพอากาศอินเดีย มาเนกชอว์สั่งกองทัพอินเดียภายใต้แม่ทัพคนสำคัญอื่นๆ เคลื่อนพลสี่สายเข้าโอบล้อมโจมตีจากทิศทางต่างๆ กัน และขณะเดียวกันกองทัพเรือและกองทัพอากาศก็เข้าร่วมแนวหน้าอย่างเต็มกำลัง กองกำลังปากีสถานเริ่มแตกพ่าย อินเดียเองก็ยึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญหลายจุดและตัดกองทัพปากีสถานขาดจากกัน ปากีสถานเริ่มยอมแพ้หรือหลบหนี
เรื่องดังกล่าวถึงสภาความมั่นคงสหประชาชาติ ระหว่างการประชุมอภิปราย สหรัฐอเมริกาเสนอมติขอให้อินเดียหยุดยิงและถอนกองกำลังทันที หลายชาติเห็นด้วย ทว่าสหภาพโซเวียตวีโต้ถึงสองครั้ง ส่วนอังกฤษกับฝรั่งเศสก็งดออกเสียง เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับความโหดร้ายของปากีสถานที่ทำต่อชาวเบงกอล
มาเนกชอว์ได้กระจายเสียงทางวิทยุเพื่อเกลี้ยกล่อมกองกำลังปากีสถาน นำโดยนายพลราว ฟารมัน อะลี (Rao Farman Ali) และนายพลอะมีร์ อับดุลลาห์ ข่าน นิอาซี (Amir Abdullah Khan Niazi) โดยรับรองว่าหากปากีสถานยอมแพ้จะได้การปฏิบัติอย่างมีเกียรติ ขณะเดียวกันการต่อต้านอินเดียไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ การกระจายเสียงของมาเนกชอว์ส่งผลต่อขวัญกำลังใจของกองทัพปากีสถานมาก วันที่ 11 ธันวาคม นายพลอะลีส่งข่าวถึงสหประชาชาติเพื่อขอหยุดยิง แต่ประธานาธิบดียะห์ยา ข่าน (Yahya Khan) ยังคงดื้อดึงไม่อนุมัติ สงครามจึงดำเนินต่อมาอีกจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม ยะห์ยา ข่านจึงตัดสินใจยุติสงครามเพื่อรักษาชีวิตทหาร
หลังจากการเจรจาผ่านสหประชาชาติ มาเนกชอว์ยื่นคำขาดให้ปากีสถานยอมแพ้ภายในวันที่ 16 ธันวาคม นายพลนิอาซีเซ็นสัญญายอมจำนนอย่างเป็นทางการ ทหารปากีสถานตกเป็นเชลยศึก 94,000 นาย และปากีสถานตะวันออกถูกปลดปล่อยเป็นเอกราชในนามใหม่ว่า บังกลาเทศ
จากผลงานครั้งนี้เอง นายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี จึงได้ตัดสินใจเลื่อนยศมาเนกชอว์จากพลเอกให้เป็นจอมพล และคงจะได้คุมทั้งสามเหล่าทัพไปแล้วหากไม่ถูกทัดทานจากกองทัพเรือและกองทัพอากาศเสียก่อน เพราะทั้งสองกองทัพเกรงว่ามาเนกชอว์จะมีอคติเนื่องจากมาจากกองทัพบก
มาเนกชอว์คือทหารอินเดียคนแรกที่ได้รับยศจอมพล ประดับยศในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1973 ก่อนหน้านั้นไม่นานเขาก็ได้รับรางวัลปัทมวิภูษัณจากประธานาธิบดีอินเดียด้วย
หลังจากเป็นจอมพลเพียง 2 สัปดาห์ มาเนกชอว์ก็ปลดประจำการรับเบี้ยบำนาญ สิ้นสุดการรับราชการทหารกว่า 40 ปี เขาได้กลับมาใช้ชีวิตครอบครัวอย่างสงบสุขในมลรัฐทมิฬนาฑู กับภรรยาชื่อ ซิลลู (Silloo) ซึ่งแต่งงานและอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 มีลูกสาวด้วยกันสองคนคือเชอร์รี (Sherry) กับมายา (Maya) ซึ่งต่อมาเชอร์รีแต่งงานมีลูกสาวชื่อแบรนดี (Brandy) ส่วนมายาแต่งงานได้ลูกชายสองคน คือราอูล แซม (Raoul Sam) กับญะฮาน แซม (Jehan Sam)
มาเนกชอว์ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในหลายบริษัท เขาถึงแก่กรรมจากอาการปอดบวมแทรกซ้อนในวันที่ 27 มิถุนายน 2008 สิริอายุ 94 ปี
วีรกรรมของเขาที่นำชัยชนะสู่อินเดียและนำเอกราชสู่บังกลาเทศได้รับการเฉลิมฉลองทุกวันที่ 16 ธันวาคมของแต่ละปีในนาม “วิชัยทิวัส (Vijay Diwas)” หรือวันแห่งชัยชนะ ซึ่งเป็นวันหยุดประจำปีของบังกลาเทศด้วย
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ