อาทิตยะ-แอลวัน: ภารกิจสู่ดวงอาทิตย์ของอินเดีย
1,781 views
0
0

เพลง Suraj Hua Maddham (พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว)
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Kabhi Khushi Kabhie Gham ฉายในปี ค.ศ. 2001 นำแสดงโดยชารุค ข่าน (Sharukh Khan) และกาโจล (Kajol) กำกับโดยกะรัณ จอฮาร์ (Karan Johar) ผลิตโดย ยศ จอฮาร์ (Yash Johar) เพลงนี้ขับร้องโดยอัลกา ยาชญิก (Alka Yagnik) และโสนู นิคม (Sonu Nigam) ที่ท่านผู้ฟังได้ยินก็เป็นเสียงของโสนู นิคม

เนื้อหาเพลงนี้ก็จะประมาณนี้ ขอแปลแบบหอมปากหอมคอนะครับ

Suraj hua maddham
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว
Chaand jalne laga
พระจันทร์ก็สว่างขึ้น
Aasmaan yeh haai
อ้าว ทำไมท้องฟ้า
Kyun pighalne laga
เริ่มหลอมละลาย

ที่เลือกเปิดเพลงนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ตรงไปตรงมาเลย เพราะวันนี้เนื้อหาของเราก็เกี่ยวกับพระอาทิตย์

อาทิตยะ-แอลวัน (นาที 4.30)

เมื่อวันเสาร์ที่ 6 มกราคม 2567 “อาทิตยะ-แอลวัน” (Aditya-L1) ได้ไปถึงจุดหมายปลายทางในอวกาศแล้ว จุดหมายปลายทางที่ว่านี้คือจุดที่ยานอวกาศจะสามารถเฝ้าดูดวงอาทิตย์ได้อย่างต่อเนื่อง

ยานอวกาศลำนี้ใช้เวลาเดินทางสี่เดือน คือออกเดินทางตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2566

ภารกิจ “อาทิตยะ-แอลวัน” เปิดตัวไม่กี่วันหลังจากที่อินเดียได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นประเทศแรกที่ส่งยานอวกาศจันทรยาน-3 ลงจอดใกล้ขั้วใต้ของดวงจันทร์

ชื่อยานอวกาศ Aditya-L1

เช่นเดียวกับจันทรยาน-3 ชื่อยานอวกาศ “Aditya-L1” น่าสนใจยิ่ง

ภาษาไทยคือคำว่า “Aditya” คือ “อาทิตยะ” ตรงตัวเลยก็คือพระอาทิตย์ เป็นการตั้งชื่อตามเทพสุริยะ เทพเจ้าในศาสนาฮินดูแห่งดวงอาทิตย์ซึ่งรู้จักกันในชื่ออาทิตยะ

ส่วนตัวอักษร “L” มาจาก “Lagrange Point” หรือจุดลากรองจ์ ซึ่งเป็นตำแหน่งในอวกาศที่กำหนดให้ส่งวัตถุไปอยู่ตรงนั้น

ในกรณีนี้ลากรองจ์จุดที่ 1 คือตำแหน่งที่แน่นอนระหว่างดวงอาทิตย์และโลกที่ยานอวกาศไปถึงแล้ว ก็คือโคจรวางตำแหน่งเวลา 14.30 น. ในวันเสาร์ที่แล้ว

เมื่ออาทิตยะ-แอล1 ไปถึงจุดจอดนี้แล้วก็จะสามารถโคจรรอบดวงอาทิตย์ในอัตราเดียวกับโลกได้ จากจุดนี้ก็จะสามารถเฝ้าดูดวงอาทิตย์ได้อย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในช่วงสุริยุปราคาและการบังแสง และสามารถทำการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้

ภารกิจสู่ดวงอาทิตย์ของอินเดีย

ภารกิจอาทิตยะ-แอลวัน คือภารกิจสุริยจักรวาลครั้งแรกของอินเดียเพื่อศึกษาดวงอาทิตย์

ยานอวกาศลำนี้บรรทุกเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เจ็ดชิ้นซึ่งจะสังเกตการณ์และศึกษาโคโรนาสุริยะ (solar corona ชั้นนอกสุด); โฟโตสเฟียร์ (photosphere พื้นผิวของดวงอาทิตย์หรือส่วนที่เราเห็นจากโลก) และโครโมสเฟียร์ (chromosphere พลาสมาบาง ๆ ที่อยู่ระหว่างโฟโตสเฟียร์และโคโรนา)

หลังจากการปล่อย อาทิตยะ-แอลวัน ขึ้นในอวกาศเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2023 ยานอวกาศนี้ได้โคจรรอบโลกสี่รอบก่อนที่จะออกจากขอบเขตของโลกในวันที่ 30 กันยายน

ช่วงต้นเดือนตุลาคม อิสโรซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ได้แจ้งให้ทราบว่า นักวิทยาศาสตร์ได้แก้ไขวิถีของอาทิตยะ-แอลวันเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่ายานอวกาศนี้อยู่บนเส้นทางที่พวกเขาตั้งใจ เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้าย

อิสโรคืออะไร

อิสโรเป็นตัวย่อที่อ่านรวมกันได้ มาจากภาษาอังกฤษ ISRO ย่อมาจาก “Indian Space Research Organisation” หรือ “องค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดีย”

อิสโรคือหน่วยงานอวกาศแห่งชาติของอินเดีย หน้าที่หลักคือวิจัยและพัฒนาด้านอวกาศ เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการในอวกาศ การสำรวจอวกาศ ความร่วมมือด้านอวกาศระหว่างประเทศ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง

อิสโรสังกัดอยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหมอินเดีย ซึ่งควบคุมดูแลโดยตรงจากนายกรัฐมนตรีอินเดีย

ทำไมต้องไปอยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหม เพราะหลายโครงการน่าจะเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ทางพลเรือนมากกว่า

ที่อยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหมก็เพราะเจตนาในครั้งแรกสัมพันธ์กับอาวุธยุทโธปกรณ์

หากจะขยายความ ชื่อเดิมของอิสโรคือ “Indian National Committee for Space Research” หรือ INCOSPAR หรือ “คณะกรรมการวิจัยอวกาศแห่งชาติอินเดีย” จัดตั้งขึ้นโดยยวาหระลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru)

ในปี ค.ศ. 1962 หลังจากที่วิกรม ซาราภาย (Vikram Sarabhai) เสนอให้เนห์รูจัดตั้งคณะกรรมการนี้ขึ้น ซาราภายคือนักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ชาวอินเดียที่ริเริ่มการวิจัยอวกาศและช่วยพัฒนาเรื่องนิวเคลียร์ในอินเดีย ภายในปี ค.ศ. 1969 คณะกรรมการนี้ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และในปีเดียวกันนี้ก็เปลี่ยนชื่อเป็นอิสโร สังกัดกรมพลังงานปรมาณู นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972 เป็นต้นมา อิสโรก็มาอยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหมอินเดีย

อิสโรเผยแพร่ภาพชุดแรกในภารกิจนี้

เพียงไม่กี่วันหลังจากการปล่อย “อาทิตยะ-แอลวัน” สู่อวกาศ อิสโรได้เผยแพร่ภาพชุดแรกในภารกิจนี้

ภาพแรกคือโลกและดวงจันทร์ในเฟรมเดียวกัน ส่วนภาพที่สองคือภาพแบบ “เซลฟี่” ที่แสดงเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สองชิ้น

เมื่อเดือนที่แล้ว อิสโรได้เผยแพร่ภาพถ่ายดวงอาทิตย์แบบเต็มดิสก์เป็นครั้งแรกโดยมีความยาวคลื่นตั้งแต่ 200 ถึง 400 นาโนเมตร อิสโรบอกด้วย ว่าภาพดังกล่าวให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีรายละเอียดซับซ้อนอันเกี่ยวกับโฟโตสเฟียร์และโครโมสเฟียร์ของดวงอาทิตย์

ทำไมภารกิจนี้สำคัญ

ประชาคมวิทยาศาสตร์อินเดียมองว่า ภารกิจนี้สำคัญเพราะจะทำให้พวกเขาเข้าใจกิจกรรมดวงอาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลมสุริยะ เปลวสุริยะ และผลกระทบที่มีต่อโลกและสภาพอากาศในอวกาศแบบเรียลไทม์ที่สุด

ปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจากการศึกษาดวงอาทิตย์เพื่อความเข้าใจเรื่องที่มนุษย์ใคร่รู้แล้ว ยังมีเรื่องผลประโยชน์แห่งชาติอินเดียด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแผ่รังสี เรื่องความร้อน เรื่องสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์มีอิทธิพลต่อสภาพอากาศของโลกนี้ ต่างก็ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศในอวกาศซึ่งมีดาวเทียมเกือบ 7,800 ดวง ในจำนวนนี้มีดาวเทียมของอินเดียประมาณ 50 ดวงประจำการอยู่ด้วย

หากขยายความเรื่องผลประโยชน์แห่งชาติอินเดียอย่างเฉพาะเจาะจงก็คือ ถ้าเข้าใจเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ดีแล้วจะทำให้อินเดียทราบล่วงหน้าประมาณ 2-3 วันก่อนว่า ลมสุริยะหรือการปะทุที่จะเกิดขึ้นนั้นจะเป็นภยันตรายต่อดาวเทียมอินเดียหรือไม่ และถ้าคำนวณว่าน่าจะเป็นก็จะได้เคลื่อนย้ายดาวเทียมไม่ให้ตกอยู่ในอันตราย

ค่าใช้จ่ายโครงการนี้แพงไหม

ผมว่าไม่น่าจะถูกนะครับ แต่ก็คงไม่แพงเหมือนภารกิจอวกาศของตะวันตก อิสโรไม่ได้ให้ตัวเลขงบประมาณไว้ แต่หนังสือพิมพ์อินเดียบางฉบับก็บอกว่าประมาณสามพันถึงสี่พันล้านรูปี

เพื่อนชาวอินเดีย (ที่เป็นนักวิชาการ) ที่ผมพูดคุยด้วยบอกว่า ไม่แพงเลย เพราะประโยชน์ที่อินเดียได้รับตรงนี้มันมากมาย ส่วนใหญ่ก็พูดในทำนองเดียวกันว่า อินเดียได้รับประโยชน์จากตรงนี้

ประโยชน์ที่อินเดียได้รับจากโครงการนี้

(1) อินเดียสามารถเป็นแหล่งความรู้ แหล่งข้อมูลที่สำคัญของโลกได้ จำต้องตระหนักด้วยว่า จะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้วยอาวุธอย่างเดียวมันไม่พอ การเป็นมหาอำนาจในสมัยนี้จะน่าดึงดูดใจก็ต่อเมื่อตนมีอะไรที่ชาติอื่นเขาพึ่งพาได้ด้วย

ตรงนี้เราก็คงเห็นบทบาทของหน่วยงานอวกาศของสหรัฐฯ ที่ชื่อ NASA ซึ่งก็ทำภารกิจเฝ้าดูดวงอาทิตย์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 แล้ว ญี่ปุ่นเปิดตัวภารกิจพลังงานแสงอาทิตย์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1981 และ European Space Agency (ESA) ก็เริ่มสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 แล้ว

แน่นอนว่าในบรรดาการสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ สหรัฐอเมริกาคือผู้นำ ในปี ค.ศ. 2021 ยานอวกาศ Parker Solar Probe ใหม่ล่าสุดของ NASA ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นยานอวกาศลำแรกที่บินผ่านโคโรนา ซึ่งเป็นชั้นบรรยากาศรอบนอกของดวงอาทิตย์ แน่นอนว่าอินเดียยังคงตามหลังอยู่ ทว่าวันหนึ่งอินเดียจะแซงชาติอื่นได้ก็ต่อเมื่ออินเดียเริ่มจากภารกิจของตนเสียก่อน แต่เริ่มแล้วก็ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

(2) อินเดียได้รับประโยชน์เต็ม ๆ จากเรื่องนี้คือ การทำอะไรแบบนี้ได้ก็บ่งบอกว่าเขามีความรู้สามารถ นำความรู้นั้นมาปฏิบัติได้จริง ตรงนี้ผมว่ามันบ่งบอกสถานภาพของเขา บอกด้วยว่าเขาคงสามารถทำอะไรที่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศที่ล้ำหน้าได้ด้วย

(3) ดังที่ผมได้บอกไว้แล้วคือ ภยันตรายที่อาจจะมีต่อดาวเทียมของอินเดีย เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะปัจจุบันถ้าไม่มีดาวเทียมเราคงจินตนาการออกว่าจะส่งผลต่อมิติต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเราอย่างไร

ประเทศไทยควรเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

ดังที่เราสองคนเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วว่า อินเดียมีอะไรดี ๆ ให้เราเรียนรู้ได้มากมาย สิ่งแรกเลยคือ เราควรจะกระชับความสัมพันธ์ทางวิทยาศาสตร์กับอินเดีย ไม่ใช่ว่าไม่มีความสัมพันธ์ทางวิทยาศาสตร์เลยนะ มีอยู่แต่น้อยมาก เรายังทำอะไรได้มากกว่านี้
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ