จากทหารซีปอย สู่ทหารซีป่าย
958 views
0
0

เพลง Mangal Mangal
Mangal Mangal มีความหมายตรงกับคำภาษาไทยว่า “มงคล” นอกจากนี้ยังหมายถึงเทพพระอังคารซึ่งเป็นเทพแห่งการสงครามด้วย สำหรับความหมายในบริบทของเพลงนี้คือชื่อบุคคลท่านหนึ่ง คือ มงคล ปาณเฑย์ (Mangal Pandey) ทหารซีปอยผู้เป็นชนวนที่นำมาสู่กบฏซีปอยในปี ค.ศ. 1857

เพลง Mangal Mangal เป็นเพลงจากภาพยนตร์เรื่อง The Rising ในปี ค.ศ. 2005 นำแสดงโดย อามีร์ ข่าน (Aamir Khan) กำกับดนตรีโดย เอ.อาร์. เราะห์มาน (A R Rahman) ส่วนเสียงร้องในเพลงเป็นของไกลาศ เคร์ (Kailash Kher)

ที่มาของหัวข้อ (นาที 4)

ก่อนที่จะพูดถึงหัวข้อหลัก ขอเกริ่นให้ฟังก่อนว่า มีแฟนรายการท่านหนึ่งได้เขียนจดหมายมาเป็นกระดาษด้วยลายมือ ใส่ซองจ่าหน้าอย่างสวยงามส่งมา เนื้อหาช่วงแรกของจดหมายเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับรายการตอนที่เพิ่งออกอากาศไปไม่นานนักก่อนหน้านี้ และในช่วงหลังได้ทิ้งคำถามไว้เรื่องทหารซีปอยด้วย จึงเป็นที่มาให้เราต้องไปหาคำตอบมานำเสนอ

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณแฟนรายการท่านนี้ ดังที่เราได้เคยเรียนไว้หลายครั้งแล้วว่า ผู้ฟังเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดในการดำรงอยู่ของรายการนี้ เราทั้งสองยินดีเสมอที่จะไขข้อข้องใจหรือพยายามนำเสนอสิ่งที่ทุกท่านอยากทราบเกี่ยวกับอินเดีย และถ้าหากเราไม่ทราบคำตอบในทันที ก็จะต้องไปค้นคว้ามาให้ นับว่าเราเองก็ได้เรียนรู้ไปด้วยเช่นกัน

จดหมายฉบับดังกล่าวลงวันที่ 15 มกราคม 2567 อ้างถึงเรื่องของจอมพลแซม มาเนกชอว์ ที่เคยออกอากาศไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 คร่าว ๆ คือท่านอยากทราบว่า จอมพลแซม มาเนกชอว์ ซึ่งเคยผ่านการสู้รบในสังกัดกองทัพอังกฤษในช่วงปะทะกับกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นที่พม่า เคยได้รับเหรียญกล้าหาญที่ชื่อว่า Victoria Cross จากสหราชอาณาจักรหรือไม่

โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า มาเนกชอว์สร้างวีรกรรมอันหาญกล้าและถูกยิงถึง 7 นัด ซึ่งระดับนี้ถ้าเป็นทหารในกองทัพไทยคงต้องได้รับเหรียญกล้าหาญประดับเปลวระเบิดแน่นอน สุดท้ายท่านก็ได้ลงท้ายไว้ในปัจฉิมลิขิตว่า ต้องการทราบประวัติทหารซีปอยด้วย

เป็นไปได้ว่าผู้ฟังท่านนี้เคยเป็นทหาร จึงสนใจเกี่ยวกับการทหารมาก ขอขอบคุณด้วยที่ได้จุดประเด็นให้ไปค้นคว้าต่อ

สำหรับท่านผู้ฟังอื่นที่ยังไม่รู้จัก “Victoria Cross” ขอชี้แจงว่า เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของกองทัพอังกฤษ มีลักษณะเป็นสิงโตบนพื้นหลังรูปกางเขน

มาเนกชอว์ได้รับ Victoria Cross หรือไม่

ในฐานะที่คุณณัฐเป็นผู้ค้นคว้าข้อมูลตอนจอมพลแซม มาเนกชอว์ อยากให้ช่วยตอบคำถามข้อนี้หน่อยว่าตกลงมาเนกชอว์ได้รับ “Victoria Cross” หรือไม่

เท่าที่ไปไล่ดูรายชื่อซึ่งบันทึกไว้อย่างละเอียด ปรากฏชื่อทหารสัญชาติอินเดียที่ได้รับ “Victoria Cross” จำนวนทั้งสิ้น 29 นาย ทั้งจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ไม่ปรากฏชื่อ แซม มาเนกชอว์ อยู่ด้วย เชื่อได้ว่ารายชื่อดังกล่าวไม่ตกหล่นแน่นอน เป็นอันว่าแซม มาเนกชอว์ ไม่เคยได้รับเหรียญ “Victoria Cross” แต่อย่างใด

นับว่าเราได้ตอบข้อสงสัยไปแล้วหนึ่งข้อ คราวนี้จะมาถึงอีกข้อที่แฟนรายการท่านนี้ได้ทิ้งท้ายไว้ใน ปล. ว่าด้วยประวัติของทหารซีปอย ซึ่งจัดว่ามีรายละเอียดน่าสนใจมาก

ประวัติของทหารซีปอย

“ทหารซีปอย” มีบทบาทสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิบริติชอินเดีย เป็นสาเหตุในการล่มสลายของจักรวรรดิโมกุล และการถ่ายโอนอำนาจจากบริษัทอินเดียตะวันออกไปสู่บริติชราชเลยก็ว่าได้

แต่ทว่าหากเรานำเสนอเรื่องทหารซีปอยเฉพาะในบทบาททหารบริติชอินเดีย ก็ถือว่ายังไม่ครอบคลุม เพราะทหารซีปอยนับว่าเป็นต้นแบบของทหารอีกกองหนึ่งในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ของเราเองด้วย เราจึงขอรวมเรื่องนี้มานำเสนอพร้อมกัน

คำว่า ซีปอย (sepoy)

เป็นศัพท์แผลงที่ใช้โดยบริษัทอินเดียตะวันออกที่เข้ามาในอินเดียในต้นศตวรรษที่ 17 และขยายอิทธิพลหลังจากยุทธการที่ปลาศี (Battle of Plassey) ในปี ค.ศ. 1757 ก่อนจะยุติบทบาทลงในปี ค.ศ. 1858

คำว่า “ซีปอย” เป็นสาธารณนาม คือคำเรียกทหารทั่วไป ไม่ใช่ชื่อเฉพาะสำหรับทหารอินเดียกองใดกองหนึ่งแต่อย่างใด

ที่มาของศัพท์นี้มาจากภาษาเปอร์เซียว่า “สิปาฮี” (sepahi) ซึ่งมีรากศัพท์ตั้งต้นว่า “อัสปา” (aspa) ที่แปลว่า ม้า (สัมพันธ์กับ “ashva” ในสันสกฤต)

แต่ความหมายของคำว่าสิปาฮีได้ขยายออกไปหมายถึงทหารม้าหรือทหารราบก็ได้ ดังที่คำนี้ได้เคยถูกใช้เรียกทหารในสมัยจักรวรรดิโมกุลมาก่อนนานแล้ว

ครั้นต่อมาบริษัทอินเดียตะวันออกก็ได้รับคำนี้เข้ามาใช้เรียกทหารราบที่ตนเองระดมมาจากคนท้องถิ่น แม้แต่ในปัจจุบันคำว่าซีปอยก็ยังคงถูกใช้เรียกพลทหารในกองทัพอินเดีย เนปาล และปากีสถานอยู่

ทหารซีปอยที่บริษัทอินเดียตะวันออกระดมมาจากคนท้องถิ่น

ส่วนใหญ่มาจากมัทราส และบอมเบย์ คัดเลือกเอาแต่คนที่ร่างใหญ่สูงใหญ่แข็งแรงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองทัพประจำเบงกอล

การระดมพลซีปอยจะเกิดขึ้นเฉพาะในวรรณะพราหมณ์และพวกราชปุต ซึ่งส่วนใหญ่มีพื้นเพจากแถบอุตตรประเทศและพิหารในปัจจุบัน

ประมาณการกันคร่าว ๆ ว่าช่วงนั้นกองทัพของบริษัทอินเดียตะวันออก มีซีปอยอยู่ราว 3 แสนนาย ทหารชาวบริติชมีเพียงประมาณ 5 หมื่นนาย

ทหารซีปอยในยุคแรกสุดคือภายใต้ราชวงศ์โมกุลช่วงศตวรรษที่ 16

จะได้รับการจ่ายอาวุธปืนที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า matchlock หรือแปลเป็นไทยว่า “ปืนคาบชุด” คือระบบกลไกปืนชนิดหนึ่ง จุดชนวนด้วย "ชุด" (match) ซึ่งทำมาจากเชือกชุบเชื้อไฟเป็นชนวน มีกระเดื่องลักษณะคล้ายหัวงูคาบเชือกชนวนไว้ ปืนชนิดนี้จะกรอกดินปืนและบรรจุกระสุนจากปากกระบอกลำกล้อง และมีไม้กระทุ้งอัดเข้าไป เมื่อเหนี่ยวไกปืน ปลายของชุดจะตีลงบนจานชนวนให้เกิดประกายไฟลุกไหม้ขึ้นที่เชือก จนไล่เข้าไปจุดระเบิดดินปืนที่อยู่ภายใน ทำให้เกิดแรงผลักลูกกระสุนออกไปได้ อาวุธปืนชนิดนี้ใช้กันมาตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 โปรตุเกสนำมาเผยแพร่ในไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา

นอกจากปืนคาบชุด ทหารซีปอยก็จะพกมีดสั้นและดาบยาวปลายโค้งที่เรียกว่าตัลวาร์ (talwaar) ด้วย

หลังบริษัทอินเดียตะวันออกเข้าปกครอง บทบาทของทหารซีปอยท้องถิ่นก็ลดลงมาก

และถูกแทนที่ด้วยทหารซีปอยรับจ้างของพวกชาวยุโรป ซึ่งได้รับการฝึกแบบกองทัพตะวันตก มีอาวุธทันสมัยขึ้น

เช่น ปืนคาบศิลา (musket) ซึ่งเป็นต้นแบบของปืนไรเฟิลในเวลาต่อมา ในช่วงนั้นประเทศที่จ้างซีปอยก็มีทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และโปรตุเกส

อย่างไรก็ตาม ต่อมาก็เกิดเหตุสำคัญอันเป็นจุดพลิกผันของประวัติศาสตร์อินเดีย กล่าวคือการก่อกบฏของทหารซีปอยในปี ค.ศ. 1857 นั่นเอง

การก่อกบฏของทหารซีปอย

แน่นอนคำว่า “กบฏ” ในที่นี้เป็นการพูดจากมุมมองฝ่ายอังกฤษ ปัจจุบันคนอินเดียหลายคนไม่พอใจให้เรียกเช่นนั้น

ปัจจุบันหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่มในอินเดียใช้คำว่า “การต่อต้าน” หรือ “การลุกฮือ”

สาเหตุของการกบฏ

มักวิเคราะห์กันว่าเกิดจากความขัดแย้งด้านความเชื่อทางศาสนาของฝ่ายผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้ลือกันว่าฝ่ายอังกฤษจงใจปฏิบัติด้วยความไม่เคารพต่อศาสนาของบรรดาทหาร

มีข่าวลือในกองทัพถึงขนาดที่ว่าไขมันชโลมปลอกถุงดินปืนที่แจกจ่ายให้ทหารซีปอยทำมาจากไขมันวัวและหมู ซึ่งเวลาจะบรรจุกระสุน ทหารจะต้องใช้ปากกัดเอาปลอกนี้ออกก่อนจะเทกรอกลงไปในกระบอกปืน ความที่ทหารจำนวนมากเป็นฮินดูหรือมุสลิมจึงทำให้เกิดความไม่พอใจ ซึ่งเรื่องนี้ได้ถ่ายทอดออกมาในภาพยนตร์เรื่อง The Rising ด้วย

ความตึงเครียดระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาได้คุกรุ่นมานาน ในที่สุดความตึงเครียดดังกล่าวก็ระเบิดออกมาในวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1857 เมื่อทหารซีปอยคนหนึ่งชื่อ มงคล ปาณเฑย์ ใช้ปืนยิงใส่ผู้บังคับบัญชาชาวอังกฤษ ทำให้เขาถูกจับกุมและถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ

การแขวนคอปาณเฑย์นำมาสู่ความไม่พอใจในหมู่เพื่อนทหารจำนวนหนึ่ง จนกระทั่งเริ่มก่อการจลาจลขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1857 ในเมืองเมรัต (Meerut)

ทหารจำนวนหนึ่งเดินทางไปเฝ้าจักรพรรดิบาฮาดูร์ ชาห์แห่งราชวงศ์โมกุล ถึงที่กรุงเดลีและกราบทูลขอความช่วยเหลือ จักรพรรดิชาห์ก็ทรงยอมสนับสนุน กองทหารซีปอยที่ประจำอยู่ในหัวเมืองอื่น ๆ จึงพากันลุกฮือตามไป

ชาวมุสลิมส่วนใหญ่เข้าร่วมกับฝ่ายซีปอย ในขณะที่ฝ่ายซิกข์กับปาทานสนับสนุนฝ่ายบริษัทอินเดียตะวันออก ฝ่ายซีปอยเข้าโจมตีและยึดเมืองสำคัญได้หลายหัวเมือง

สิ้นสุดราชวงศ์โมกุล

ในเวลาต่อมา ฝ่ายบริติชได้รับกองหนุนจนกระทั่งสามารถตีกรุงเดลีคืนจากฝ่ายซีปอยได้สำเร็จ จักรพรรดิบาฮาดูร์ ชาห์ถูกเนรเทศไปย่างกุ้ง เป็นอันสิ้นสุดอำนาจแห่งราชวงศ์โมกุลเพียงเท่านี้

หลังจากนั้นฝ่ายบริติชไล่ตียึดเมืองคืนตามลำดับจนเอาชนะฝ่ายซีปอยได้เด็ดขาดในที่สุด เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1858 ตามมาด้วยประกาศนิรโทษกรรมในวันที่ 1 พฤศจิกายนปีเดียวกัน

ผลจากการลุกฮือของทหารซีปอยครั้งนี้

ซึ่งมาจากกระสุนนัดเดียวของมงคล ปาณเฑย์ ที่ยิงใส่ผู้บังคับบัญชา ทำให้อำนาจกว่า 300 ปีของจักรวรรดิโมกุลต้องล่มสลายลง

การปกครองของบริษัทอินเดียตะวันออกในอินเดียต้องจบลง เกิดการถ่ายโอนอำนาจไปยังราชสำนักอังกฤษ สถาปนาบริติชราชขึ้นปกครองดินแดน อันหมายถึงอินเดียได้สูญเสียเอกราชอย่างสมบูรณ์

ส่วนกองทหารซีปอยถูกรวมเข้ากับกองทัพอินเดียที่จัดตั้งใหม่ภายใต้บัญชาการของราชสำนักอังกฤษ

จากทหารซีปอย สู่ทหารซีป่าย

เรื่องของทหารซีปอยไม่ได้เป็นที่ทราบกันเฉพาะแค่ในอินเดียเท่านั้น แต่ยังส่งอิทธิพลไปถึงประเทศข้างเคียงด้วย โดยเฉพาะสยามประเทศในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ก็ได้รับอิทธิพลบางส่วนจากทหารซีปอยเช่นกัน

คือเราได้เคยตั้งกองทหารที่หัดตามแนวทหารซีปอยขึ้นมาด้วย แต่เราเรียกว่า “ทหารซีป่าย” ซึ่งเป็นศัพท์เดียวกับซีปอยอย่างชัดเจน เพียงแต่อาจจะออกเสียงตามแบบหูเราที่ได้ยินภาษาเปอร์เซียเป็นอย่างนั้น และที่จริงตรงกับคำศัพท์เดิมมากกว่า “ซีปอย” ด้วยซ้ำไป

อย่างที่หลายท่านอาจจะทราบดีอยู่แล้ว ในประวัติศาสตร์กองทัพไทยนับตั้งแต่สมัยอยุธยา มีหลักฐานการใช้ทหารรับจ้างจากชาติตะวันตกมาช่วยการสงครามด้วย เช่น ทหารโปรตุเกสในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชา ทหารฮอลันดาในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ทหารฝรั่งเศสในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เป็นต้น

หากจะถามเหตุผลว่าทำไมต้องใช้ทหารเหล่านี้ คงต้องอธิบายว่า สิ่งที่เรามักพึ่งพาจากชาติตะวันตกคืออาวุธปืนไฟ และระเบียบการฝึกหัดกองทัพอย่างฝรั่ง

หลักฐานเกี่ยวกับทหารซีป่ายที่ได้รับอิทธิพลจากทหารซีปอย

หลักฐานที่ปรากฏชัดเจนอยู่ในพระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่อง “ความทรงจำ” มีดังต่อไปนี้

“สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ 2 เมื่อรัฐบาลอังกฤษในอินเดียแต่งให้ครอเฟิตเป็นทูตเข้ามา มีทหารแขกอินเดียที่อังกฤษจัดขึ้นเรียกว่า “ซีปอย” (Sepoy) ประจำเรือรบมาด้วย เป็นเหตุให้ไทยได้เห็นทหารหัดอย่างฝรั่งเป็นครั้งแรกในกรุงเทพฯ นี้

“เมื่อทูตอังกฤษกลับไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดฯ ให้จัดทหารอย่างฝรั่งขึ้นพวก 1 ไทยเรียกกันว่า “ทหารซีป่าย” (มีรูปภาพปรากฏอยู่ในหนังสือฝรั่งแต่งเรื่องหนึ่ง) แต่จะมีจำนวนคนเท่าใด ให้มีหน้าที่อย่างไร และใครเป็นครูฝึกหัด สืบไม่ได้ความ ฉันสันนิษฐานตามเค้าเงื่อนเห็นว่า จะเป็นพวกกรมรักษาพระองค์และมีหน้าที่รักษาพระราชฐาน”

ทั้งนี้ยังทรงระบุต่อไปด้วยว่าการแต่งตัวอย่างทหารซีป่ายก็ยังคงมีสืบมาจนถึงช่วงรัชกาลที่ 3 โดยหลัก ๆ ใช้กับพวกทหารญวนเข้ารีต หรือกล่าวตามภาษาสมัยนี้ก็คือชาวเวียดนามคริสเตียนนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าแม้ทหารซีป่ายในเมืองไทยจะไม่ได้ฝึกหัดกันใหญ่โตและไม่มีบทบาทอะไรมากนัก ทั้งยังเลิกไปในเวลาไม่นาน แต่ก็เป็นความพยายามที่น่าสนใจครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ไทย แสดงให้เห็นความใจกว้างและเปิดรับวัฒนธรรมจากต่างชาติเพื่อนำมาพัฒนาและต่อยอดสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ