วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567
เพลง Mera Naam Chin Chin Chu
เป็นเพลงที่มีความนิยมมากเพลงหนึ่ง เพลงนี้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อ “Howrah Bridge” ฉายในปี ค.ศ. 1958 กำกับและผลิตโดยศักติ สมันตา (Shakti Samanta) ดารานำคือ อโศก กุมาร (Ashok Kumar) และมธุพาลา (Madhubala) เพลงนี้ขับร้องโดยคีตา ทัตต์ (Geeta Dutt) ซึ่งมีเสียงร้องที่น่าชื่นชมยิ่ง
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ผู้ฟังได้ชมคลิปเพลงนี้ด้วย เพราะการเต้นของดาราหญิงที่ชื่อเฮเลน (Helen) นับว่าสุดยอดที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
[ก่อนอื่นต้องขออวยพรชาวไทยเชื้อสายจีนทุกท่านก่อนเพราะวันนี้เป็นวันตรุษจีน “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้” ขอให้ผู้ฟังทุกท่านร่ำรวย สุขภาพแข็งแรง เฮง เฮง เฮง]
ผมได้เขียนบทความชื่อ “สุพราหมัณยัมและชัยศังกร: สองพ่อลูกเบื้องหลังการต่างประเทศอินเดียร่วมสมัย” ลงไว้ที่ในเว็บ decode.plus ของไทยพีบีเอส บทความนี้ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567
ผมได้ไปบรรยายที่โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ มีนายทหารคนหนึ่งบอกผมว่าชอบบทความนี้มาก และแนะนำว่าผมควรจะนำมาเสนอในรายการวิทยุปกิณกะอินเดียด้วย เผื่อใครไม่ถนัดอ่านมากนักก็จะได้ฟังแทนอ่าน วันนี้ก็เลยขอนำมาบทความดังกล่าวมาเล่าให้ฟัง แน่นอนคงไม่เหมือนที่เขียนไว้ทั้งหมด ตรงไหนพออธิบายเพิ่มเติมได้ก็จะทำ
อย่างไรก็ตามใคร่แจ้งให้ท่านผู้ฟังด้วยว่าการฟังวิทยุระหว่างทำงานอย่างอื่นไปด้วยก็เป็นเรื่องของความสะดวก แต่มนุษย์เราจำเป็นต้องอ่านด้วยครับ เพราะการอ่านจะพัฒนาทักษะการใช้ภาษาและการใช้เหตุผลของเราให้ดีขึ้นได้ ขอขอบคุณนายทหารท่านนี้ที่ติดตามรายการปกิณกะอินเดียและบทความของผม
หลายคนคงรู้จัก ดร. เอส. ชัยศังกร (S. Jaishankar) จากคลิปที่เขาให้สัมภาษณ์ในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการต่างประเทศอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัสเซียบุกยูเครน ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับจีน หรือการประชดประชันประเทศตะวันตก ฯลฯ ล้วนแต่เป็นคลิปที่มีผู้คนเข้าไปชมผ่านสื่อสังคมออนไลน์กันมากมาย
คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่า ในบรรดารัฐมนตรีของรัฐบาลอินเดียปัจจุบันนำโดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) รัฐมนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดคือชัยศังกร (เวลาสื่อสารกับชาวอินเดียหรือชาวต่างชาติ ควรออกเสียงว่า แยชังเกอร์)
ผมเคยพูดคุยเรื่องนี้กับเพื่อนนักวิชาการชาวอินเดียหลายคน แม้แต่คนที่ไม่ฝักใฝ่พรรคภารตียชนตา (Bharatiya Janata Party) พรรคที่ชัยศังกรสังกัดและเป็นพรรคนำรัฐบาลในปัจจุบัน ก็ยังยอมรับว่า ชัยศังกรคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ช่ำชองโลกมากเป็นพิเศษ ตัวผมเองก็เชื่อเช่นนั้น และเชื่อด้วยว่าเขาคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งของอินเดียนับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1947 ก็ว่าได้
ชื่อเต็มของรัฐมนตรีฯ คนนี้คือ สุพราหมัณยัม ชัยศังกร (Subrahmanyam Jaishankar) หลายคนที่พอรู้เรื่องอินเดียอยู่บ้าง ก็คงเดาจากภาษาได้ว่า ชื่อแบบนี้มักจะเป็นชื่อของผู้คนที่มาจากตอนใต้ของอินเดียโดยเฉพาะมลรัฐทมิฬ นาฑู (Tamil Nadu) ชัยศังกรนั้นเกิดที่เดลี (Delhi) ทว่าครอบครัวของเขามาจากมลรัฐทมิฬ นาฑู
คุณพ่อของชัยศังกรชื่อกฤษณะสวามี สุพราหมัณยัม (Krishnaswamy Subrahmanyam) คุณแม่ชื่อสุโลจนา สุพราหมัณยัม (Sulochana Subrahmanyam) ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 4 คน บุตรคนแรกคือเอส. วิชัย กุมาร (S. Vijay Kumar) เกิดในปี ค.ศ.1953 คนที่สองคือชัยศังกรเกิดในปี ค.ศ.1955 คนที่สามคือสัญชัย สุพราหมัณยัม (Sanjay Subrahmanyam) เกิดในปี ค.ศ.1961 และบุตรีคนเดียวของครอบครัวคือสุธา สุพราหมัณยัม (Sudha Subrahmanyam) ทว่าสุธาก็เป็นเช่นเดียวกับสุโลจนามารดาของชัยศังกร คือแทบจะไม่มีข้อมูลให้หาอ่านได้ ฉะนั้นแล้วจึงไม่ขอกล่าวถึงทั้งสองในรายการนี้
ข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า แต่ละคนประสบความสำเร็จในอาชีพการงานอย่างโดดเด่นยิ่ง
กุมารบุตรคนแรกเป็นข้าราชการพลเรือน เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรดิน ทรัพยากรน้ำ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ก่อนปลดเกษียณเคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงถึงสองกระทรวงด้วยกัน คือกระทรวงว่าการเหมืองแร่และกระทรวงว่าการพัฒนาชนบท
คนที่สองได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งก่อนจะดำรงตำแหน่งนี้เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตและปลัดกระทรวงการต่างประเทศมาก่อน
ส่วนคนสุดท้ายคืออดีตศาสตราจารย์เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมอินเดียยุคต้นสมัยใหม่ เคยสอนหนังสือในสถาบันที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกหลายแห่งทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เช่น สถาบันการศึกษาขั้นสูงด้านสังคมศาสตร์ (École des Hautes Études en Sciences Sociales) ในฝรั่งเศส, มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (University of Oxford) ในอังกฤษ และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (University of California, Los Angeles) ในสหรัฐฯ
เกิดในปี ค.ศ.1929 สมัยที่อังกฤษยังปกครองอินเดีย บ้านเกิดของเขาคือติรุจิรัปปัลลิ (Tiruchirappalli ปัจจุบันอยู่ในมลรัฐทมิฬ นาฑู) ในวัยเยาว์เขาใช้ชีวิตในติรุจิรัปปัลลิ และมัดราส (Madras ปัจจุบันคือเชนไน (Chennai) เมืองหลวงของมลรัฐทมิฬ นาฑู)
สุพราหมัณยัมเป็นอดีตข้าราชการพลเรือนและนักคิดนักเขียนด้านยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่ง
ในปี ค.ศ. 1950 ระหว่างที่สุพราหมัณยัมกำลังศึกษาปริญญาโทด้านเคมีปีสุดท้าย ณ มหาวิทยาลัยมัดราส (University of Madras) เขาสอบเป็นข้าราชการพลเรือนอินเดียได้ที่ 1 ของรุ่น และได้รับบรรจุเป็นข้าราชการในปี ค.ศ.1951
ในช่วงเริ่มแรก สุพราหมัณยัมเป็นข้าราชการระดับล่าง และใช้เวลาพักหนึ่งก่อนจะย้ายมาอยู่เดลี ระหว่างปี ค.ศ.1965-1966 สุพราหมัณยัมลาศึกษา โดยได้รับทุนจากมูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) ให้ศึกษาต่อด้านยุทธศาสตร์ศึกษาที่วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (London School of Economics and Political Science)
เมื่อกลับมาอินเดีย เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการคนที่สองของสถาบันมโนหร ปรรรีกรเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์ด้านกลาโหม (Manohar Parrikar Institute for Defence Studies and Analyses, IDSA) สถาบันแห่งนี้ในอดีตไม่มีคำว่า “มโนหร ปรรรีกร” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อสถาบัน นับได้ว่าตราบจนทุกวันนี้ยังเป็นสถาบันคลังสมองด้านความมั่นคงที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่งของอินเดีย
กล่าวได้ด้วยว่า ในช่วงหลายปีระหว่างก่อตั้ง สุพราหมัณยัมมีความเกี่ยวข้องกับ IDSA อย่างมาก เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันแห่งนี้ทั้งหมด 2 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1969 ถึง 1975 และครั้งที่สองตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 ถึง 1987 นอกจากตำแหน่งนี้แล้ว สุพราหมัณยัมยังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญอื่น ๆ ในฐานะข้าราชการด้วย

เป็นคนรุ่นแรกที่พยายามนำวิถีคิดด้านการต่างประเทศและความมั่นคงของอินเดียออกจากโลก “อุดมคตินิยม” (idealism) แบบยวาหระลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru)
เขายึดมั่นในหลักภาวะการเมืองแห่งความเป็นจริง (realpolitik) อย่างหนักแน่น และประสบความสำเร็จอย่างสำคัญในฐานะกระบอกเสียงที่มีอิทธิพลด้านความมั่นคงของอินเดียมาเป็นเวลานาน
สำหรับสุพราหมัณยัมแล้ว สถาบัน IDSA เปรียบเสมือนสถานที่ที่เขาประสงค์จะทำตามความปรารถนาหลากหลายประการ รวมถึงการให้โอกาสคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จาก IDSA
เขาจริงจังกับเรื่องความมั่นคงมากจนถึงกับพยายามรวมสถาบันแห่งนี้เข้ากับมหาวิทยาลัยยวาหระลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru University) อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม สุพราหมัณยัมมีบทบาทในการสอนจำกัดมาก เพราะไม่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกและไม่มีปริญญาบัตรด้านรัฐศาสตร์ ทว่าสถาบันที่มองเห็นความรู้ความสามารถของสุพราหมัณยัมและไม่แยแสกับวุฒิการศึกษาของเขากลับกลายเป็นมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) ที่แต่งตั้งให้เขาเป็นอาจารย์
ข้อแนะนำที่สำคัญสุดของสุพราหมัณยัมอันสะท้อนความเข้าใจเรื่องการต่างประเทศแบบภาวะการเมืองแห่งความเป็นจริงคือ การแนะนำให้อินเดียครอบครองอาวุธนิวเคลียร์เพื่อเหตุผลการป้องปราม (deterrence)
ทว่าในทรรศนะของเขา โครงการนิวเคลียร์จำต้องจำกัดและคำนึงถึงต้นทุนที่สูง สะท้อนสถานภาพทางการเงินการคลังของอินเดียในเวลานั้น
นี่น่าจะเป็นตัวอย่างสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้บางคนเรียกสุพราหมัณยัมว่า เป็นนักคิดแบบ “นิวเคลียร์สายพิราบ” (nuclear dove) หรือ “เรียลลิสต์เชิงปฏิบัติ” (pragmatic realism)
ตัวอย่างอีกข้อหนึ่งที่น่าจะบ่งชี้ความเป็นเรียลลิสต์เชิงปฏิบัติของเขาชัดเจนยิ่งขึ้นคือ เขาไม่เชื่อว่าลัทธิชาตินิยมจำต้องขัดแย้งกับลัทธิสากลนิยมเสมอไป
เขาได้สำแดงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลประโยชน์ของชาติอินเดีย แต่ในฐานะเรียลลิสต์เชิงปฏิบัติ เขาไม่เคยรู้สึกขวยเขินที่จะปรับเปลี่ยนโลกทัศน์ของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล้าเปลี่ยนข้อแนะนำให้เป็นไปตามบริบทโลก หรือตามโครงสร้างโลกที่เป็นจริง
ตัวอย่างที่ชัดเจนในประเด็นนี้ เช่น สุพราหมัณยัมเป็นผู้ปกป้องความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น แต่ก็สุพราหมัณยัมอีกเช่นกันที่สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอินเดียยุคหลังสงครามเย็นอย่างขะมักเขม้น
นอกจากนี้สุพราหมัณยัมยังเป็นบุคคลแรก ๆ ที่กล่าวถึงความสำคัญของการปฏิรูปเศรษฐกิจอินเดียให้เสรีเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ และได้เสนอให้ปฏิรูปการปกครองและวัฒนธรรมการเมืองอินเดียด้วย
สุพราหมัณยัมยังเคยมีผลงานอีกมากมายที่สำคัญ เคยเป็นประธานคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งโดยรัฐบาลอินเดีย รวมถึงประธานคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องคาร์กิล (Kargil) ที่จัดตั้งขึ้นในวันที่ 29 กรกฎาคม ปี ค.ศ.1999 สามวันหลังจากกองทัพอากาศอินเดียร่วมกับกองทัพบกอินเดียประสบความสำเร็จในการขับไล่กองทัพปากีสถานและกองกำลังกึ่งทหารปากีสถานออกจากตำแหน่งต่าง ๆ ตามแนวเส้นพรมแดนที่กำหนดไว้
ชัยศังกรเคยกล่าวถึงบิดาของตนในฐานะข้าราชการที่ถูกกลั่นแกล้งโดยผู้นำพรรคคองเกรส (Congress Party) บางคน และเคยกล่าวถึงความทะเยอทะยานที่จะเป็นข้าราชการระดับสูงโดยกล่าวถึงบิดาของตนด้วย
สัปดาห์หน้าเราจะมาพูดถึง ชัยศังกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียคนปัจจุบัน
สัปดาห์นี้ก็น่าจะเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้พ่อแล้ว สัปดาห์หน้าก็จะทำให้เห็นเรื่องราวของผู้ลูก หวังว่าวันนี้ใครที่สนใจอินเดีย โดยเฉพาะด้านนโยบายการต่างประเทศอินเดียก็คงเข้าใจข้อคิดบางประการบ้างแล้ว
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ