วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567
เพลง Kashmir Main Tu Kanyakumari
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Chennai Express ฉายในปี ค.ศ. 2013 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยโรหิต เชตตี้ (Rohit Shetty) ดารานำคือชาห์ รุค ข่าน (Shah Rukh Khan) และทีปิกา ปาฑุโกเน (Deepika Padukone) เพลงนี้ขับร้องโดยสุนิธิ จอฮาน (Sunidhi Chauhan) อริชิต สิงห์ (Arijit Singh) และนีติ โมหัน (Neeti Mohan)
ที่เลือกเปิดเพลงนี้ก็เพราะว่าสนุกดีและให้ความรู้ด้วย เพราะ “Kashmir” กับ “Kanyakumari” หมายถึงเหนือสุดและใต้สุด อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะมีทำนองของทางใต้ด้วย จะได้สัมพันธ์กับสุพราหมัณยัมและชัยศังกร ซึ่งเป็นชาวอินเดียทางตอนใต้ของอินเดีย
เกิดในปี ค.ศ.1955 เรียนหนังสือที่โรงเรียนกองทัพอากาศ (Air Force School) ที่เดลี และโรงเรียนทหารบังกาลอร์ (Bangalore Military School) ในมลรัฐกรรนาฏกะ (Karnataka) เมื่อจบระดับมัธยมปลายก็เข้าเรียนปริญญาตรีด้านเคมี ณ วิทยาลัยเซ็นต์สตีเฟนส์ (St. Stephen’s College) สังกัดมหาวิทยาลัยเดลี (Delhi University) ครั้นจบปริญญาตรี เขากลับเปลี่ยนใจไปศึกษาต่อด้านรัฐศาสตร์ในระดับปริญญาโท ตามด้วยปริญญาโทใบที่สองและปริญญาเอกด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ณ มหาวิทยาลัยยวาหระลาล เนห์รู
วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาเกี่ยวกับการทูตนิวเคลียร์ นี่ก็น่าจะบ่งบอกได้ไม่น้อยว่าบิดาของเขาซึ่งครั้งหนึ่งเคยเสนอให้อินเดียครอบครองอาวุธนิวเคลียร์น่าจะมีอิทธิพลต่อเขาไม่น้อยเลย
ชวนสังเกตด้วยว่า เรื่องราวเกี่ยวกับการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ของอินเดียนั้นสำคัญมาก และย่อมไม่ผิดด้วยที่จะกล่าวว่าเป็นเรื่องเดียวกับผลประโยชน์แห่งชาติเลยก็ว่าได้
หากขยายความก็คือ อินเดียไม่เคยลงนามให้สัตยาบันสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Proliferation Treaty) อินเดียเชื่อว่าหากประเทศอื่นครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ได้ อินเดียก็ย่อมทำได้
และแล้วแผนที่เคยมีมาตั้งแต่สมัยเนห์รูก็นำไปสู่การทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดินครั้งแรกในกลางปี ค.ศ.1974 โดยอินทิรา คานธี (Indira Gandhi) แห่งพรรคคองเกรส และอีก 24 ปีถัดมา อินเดียก็ทดสอบระเบิดอีกครั้ง ครั้งหลังนี้โดยอะตัล พิหารี วัชปายี (Atal Bihari Vajpayee) แห่งพรรคภารตียชนตา
ผลที่ตามมาจากการทดลองระเบิดทั้งสองครั้งคือ มหาอำนาจกีดกันอินเดียในทางต่าง ๆ ทำให้อินเดียต้องปรับประยุกต์ในเรื่องต่าง ๆ เพื่อที่จะดำรงไว้ซึ่งการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ หนึ่งในนั้นคือเรื่องการทูตนิวเคลียร์เพื่อให้มหาอำนาจยอมรับอินเดียในฐานะประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อย่างถูกต้องชอบธรรม
ชัยศังกร ร่วมกับ ซี. ราชา โมหัน (C. Raja Mohan) นักวิชาการด้านการต่างประเทศอินเดียคนสำคัญ เคยตีพิมพ์บทความเรื่องนิวเคลียร์ในปี ค.ศ.1977 บทความนี้ใช้ชื่อว่า “Nuclear Cartelisation: Theory and Practice (กระบวนการรวมหัวทางนิวเคลียร์: ทฤษฎีและการปฏิบัติ)
บทความนี้สะท้อนว่าทั้งสองเข้าใจการเมืองระหว่างประเทศในเรื่องนิวเคลียร์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความพยายามของประเทศตะวันตกบางประเทศที่มีจุดมุ่งหมายจะทำลายล้างโครงการนิวเคลียร์ที่คล้ายคลึงกับของอินเดีย ทั้งสองมองว่าการรวมหัวนี้อย่างไรเสียก็ไม่น่าจะประสบความสำเร็จได้ “เนื่องจากการแข่งขันและความอิจฉาริษยาระหว่างมหาอำนาจเหล่านี้…”
นับว่าเป็นสนามสอบที่มีการแข่งขันสูงมากเป็นพิเศษ เขาเริ่มรับราชการเป็นนักการทูตเมื่อปี ค.ศ.1977 ณ กระทรวงการต่างประเทศ เขาได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจสำคัญมากมายในสถานทูตอินเดียหลายแห่ง เช่น มอสโก (Moscow) โคลัมโบ (Colombo) บูดาเปสต์ (Budapest) โตเกียว (Tokyo)
ในกระทรวงการต่างประเทศระหว่างปี ค.ศ. 2000-2018 ชัยศังกรเคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอินเดียประจำ 4 ประเทศ
1. สาธารณรัฐเช็ค (2000-2004)
2. สิงคโปร์ (2007-2009)
3. จีน (2009-2013)
4. สหรัฐอเมริกา (2013-2015)
ก่อนจะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย
หลังจากปลดเกษียณในปี ค.ศ.2018 ชัยศังกรได้รับแต่งตั้งโดยบริษัททาทา ซันส์ จำกัด (Tata Sons Private Limited) ให้ดูแลด้านการเสริมสร้างสถานะทางธุรกิจของเครือบริษัททาทาทั่วโลก
การแต่งตั้งครั้งนี้ก็บ่งบอกถึงคุณสมบัติอันดีเยี่ยมของชัยศังกรไม่น้อยเลย เพราะทาทาคือธุรกิจขนาดมหึมาที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่ดีที่สุดของอินเดียเลยก็ว่าได้
30 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ชัยศังกรได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่ทะยานขึ้นมาเป็นเจ้ากระทรวงฯ พร้อมกับตำแหน่งนี้เขาเป็นสมาชิกพรรคภารตียชนตา และสมาชิกสภาสูงหรือราชยสภา (Rajya Sabha) ของมลรัฐคุชราต (Gujrat) ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ.2019

ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ก่อนดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต คือระหว่างปี ค.ศ.1979-2000 ชัยศังกรได้สั่งสมประสบการณ์แบบรอบโลกเลยก็ว่าได้
ไม่ว่าจะสมัยประจำการที่มอสโก สหภาพโซเวียต ซึ่งมีความสำคัญต่ออินเดียมากเป็นพิเศษในเวลาหนึ่ง หรือจะร่วมแก้ไขข้อพิพาทกับสหรัฐฯ ในบางประเด็นเกี่ยวกับนิวเคลียร์ หรือจะประเด็นเพื่อนบ้านอินเดียแบบศรีลังกา หรือกองกำลังรักษาสันติภาพ หรือการทูตพาณิชย์กับฮังการี หรือการร่างสุนทรพจน์ให้ประธานาธิบดีอินเดีย หรือการดำรงความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นในช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นไม่เห็นด้วยกับการทดลองระเบิดนิวเคลียร์อินเดียครั้งที่สอง
ประสบการณ์เหล่านี้ล้วนแต่หล่อหลอมความเข้าใจในเรื่องของผลประโยชน์แห่งชาติของแต่ละประเทศในแต่ละด้าน และบริบทความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับประเทศเหล่านี้ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปตามโครงสร้างอำนาจของโลกและการปฏิรูปเศรษฐกิจอินเดีย
ปี ค.ศ.2004-2007 ชัยศังกรในฐานะผู้รับผิดชอบเรื่องสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จอย่างสำคัญยิ่งในการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ
ความสำเร็จที่ว่านี้คือเรื่องการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์พลเรือนและปรับปรุงความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ และการเปิดพื้นที่เจรจากับสหรัฐฯ ด้านพลังงาน
การดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอินเดียประจำ 4 ประเทศของชัยศังกรได้บ่งชี้ความสามารถทางการทูตของเขาอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ 3 ประเทศหลัก คือ สิงคโปร์ จีน สหรัฐอเมริกา
ชัยศังกรมีบทบาทสำคัญในการทำให้ข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมระหว่างอินเดียกับสิงคโปร์ปฏิบัติได้จริงมากขึ้น โดยเน้นขยายธุรกิจอินเดียในสิงคโปร์
อีก 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่
1. การจัดการด้านกลาโหมสิงคโปร์ว่าด้วยการเก็บยุทโธปกรณ์ทางทหารบางส่วนในอินเดียเป็นการถาวร
2. การส่งเสริมชาวอินเดียโพ้นทะเลในสิงคโปร์ให้เชื่อมโยงกับอินเดียมากขึ้น
ชัยศังกรดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตเป็นเวลา 4 ปีครึ่ง นับได้ว่ายาวนานที่สุดของอินเดีย
เขาได้พยายามอย่างยิ่งที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และวัฒนธรรมระหว่างอินเดียกับจีน ที่สำคัญสุดคือ การจัดการข้อพิพาทชายแดนจีน
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธมิได้ว่าการดำเนินความสัมพันธ์กับจีนมีความท้าทายไม่น้อยเลย เขายินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือกับจีนมากยิ่งขึ้น
ตราบใดที่จีนเคารพผลประโยชน์ของอินเดีย ด้วยเหตุนี้ชัยศังกรจึงยึดหลักนี้เพื่อดำเนินความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดบ้างและดีบ้างสลับสับเปลี่ยนไปมา
เช่น ปี ค.ศ.2010 ชัยศังกรได้แนะนำคณะกรรมการคณะรัฐมนตรีด้านความมั่นคงของอินเดียให้ระงับความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่างอินเดียกับจีน เพราะจีนปฏิเสธที่จะออกวีซ่าให้แก่หัวหน้ากองบัญชาการภาคเหนือของกองทัพอินเดีย ก่อนสถานการณ์จะคลี่คลายลงในปีถัดมา
หรือในปี ค.ศ.2012 เมื่อหนังสือเดินทางจีนระบุว่าอรุณาจัลประเทศ (Arunachal Pradesh) และอัคไซชิน (Aksai Chin) เป็นส่วนหนึ่งของจีน ชัยศังกรตอบโต้จีนโดยสั่งให้หน่วยงานอินเดียออกวีซ่าแก่ชาวจีนโดยสำแดงให้เห็นว่าสองพื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย
ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมถึงการขู่ยกเลิกกำหนดการเยือนอินเดียของนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง (Li Keqiang) จนกว่าจีนจะถอนการตั้งค่ายกองทัพจีนบนที่ราบเดปซังลาดัก (Ladakh’s Depsang Plains)
ณ ประเทศจีนนี้ด้วยที่ชัยศังกรได้มีโอกาสพบปะมุขมนตรีแห่งคุชราตที่ชื่อโมดี ในปี ค.ศ.2011 โมดีเดินทางไปจีนในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรีของมลรัฐคุชราต ชัยศังกรให้สัมภาษณ์ว่า “…เขา[โมดี]สร้างความประทับใจให้แก่ผมอย่างมาก ภายในปี ค.ศ.2011 ผมเคยเห็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรีหลายคนเข้า ๆ ออก ๆ แต่ไม่เคยเห็นใครที่เตรียมพร้อมได้มากกว่าโมดี”
ในสมัยที่ชัยศังกรดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอินเดียประจำสหรัฐฯ เขามีส่วนสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ ในแทบทุกด้าน พร้อมการเตรียมแผนเยือนสหรัฐฯ
ในปี ค.ศ.2014 ซึ่งเป็นการเยือนสหรัฐฯ ครั้งแรกของโมดี การกระชับความสัมพันธ์นี้เขาและพ่อของเขารู้ดีมาโดยตลอดเวลาว่าสหรัฐฯ สำคัญต่ออินเดียอย่างไร
ทันทีที่ชัยศังกรเดินทางถึงสหรัฐฯ ก็มี ประเด็นนักการทูตเทวยานี โขพราคเฑ (Devyani Khobragade) ที่เขาต้องรีบจัดการอย่างเร่งด่วน
โขพราคเฑ คือนักการทูตหญิงอินเดียวัย 39 ปี รองกงสุลใหญ่อินเดียในนิวยอร์ก (New York) (ปัจจุบันคือเอกอัครราชทูตอินเดียประจำกัมพูชา) ถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกงวีซ่า และโกหกเรื่องการจ่ายเงินให้แม่บ้านของเธอชื่อสังคีตา ริชาร์ด (Sangeeta Richard) ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายของสหรัฐฯ
โขพราคเฑถูกใส่กุญแจมือ ถูกสั่งให้เปลื้องผ้าค้นตัว ถูกตรวจค้นช่องคลอด ทั้งที่เธอยืนยันว่าเธอมีความคุ้มกันทางการทูต
อินเดียโต้ตอบสหรัฐฯ ทันที โดยขอให้สหรัฐฯ ถอนนักการทูตของตน 1 คนที่มีตำแหน่งเท่ากับโขพราคเฑออกจากอินเดีย สั่งให้สถานทูตสหรัฐฯ ปิดสโมสรสำหรับชาวอเมริกัน และรื้อสิ่งกีดขวางเพื่อความปลอดภัยด้านนอกสถานทูตสหรัฐฯ ออกด้วย ไม่ทราบว่าทูตชัยศังกรได้แนะนำให้อินเดียทำเช่นนั้นหรือไม่
แต่ที่แน่ชัดคือ ทันทีที่สหรัฐฯ ยอมอ่อนลงในประเด็นนี้ ชัยศังกรในฐานะเอกอัครราชทูตก็ได้สำแดงทักษะทางการทูตอย่างเลิศล้ำ คือพูดถึงความจำเป็นที่ทั้งสองประเทศจะต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพราะทั้งสองต้องพึ่งพากัน กล่าวอีกนัยคือชัยศังกรได้ส่งข้อความสำคัญให้สหรัฐฯ รับทราบด้วยว่า สหรัฐฯ เองก็ต้องการอินเดียเช่นกัน
นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ชัยศังกรมองออกตั้งแต่ต้น ซึ่งความคิดนี้ในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เขาตอกย้ำให้เห็นว่า ต่อให้เป็นโมดีหรือพรรคภารตียชนตาที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนชาตินิยมฮินดูนำรัฐบาลอินเดีย ซึ่งไม่น่าจะเป็นที่พึงพอใจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะสำหรับประธานาธิบดีที่สังกัดพรรคเดโมแครต (Democratic Party) แต่อุดมการณ์ในบางเรื่องก็ไม่อาจอยู่เหนือผลประโยชน์แห่งชาติได้
เมื่อครบวาระตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ชัยศังกรก็ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เพราะคงไม่มีข้าราชการคนอื่นใดที่จะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากกว่าชัยศังกรอีกแล้ว
ในช่วงเวลานี้ เขาได้ทำงานร่วมกับโมดีและสุษมา สวราช (Sushma Swaraj) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียอย่างใกล้ชิด ดังนั้นจึงมีโอกาสหยั่งอิทธิพลต่อนโยบายการต่างประเทศอินเดียได้มากเลยทีเดียว แม้ในเวลานั้นโมดีและสวราชจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดด้านการต่างประเทศ
แต่โมดีคงตระหนักด้วยว่า การต่างประเทศอินเดียในบริบทที่อินเดียกำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวทีโลก ซึ่งเป็นโลกที่ซับซ้อน มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทว่าก็ต่างจากโลกของสงครามเย็นในอดีต จึงจำต้องมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศผู้ช่ำชอง ผู้จะจัดวางอินเดียในโลกโดยไม่บั่นทอนผลประโยชน์แห่งชาติ
แม้สวราชจะได้ชื่อว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ดี แต่ก็เป็นเพียงรัฐมนตรีที่ทำตามโมดีโดยส่วนใหญ่ มิได้ช่วยกำหนดนโยบายการต่างประเทศแต่อย่างใด
ชัยศังกรปลดเกษียณจากตำแหน่งปลัดกระทรวงในปลายเดือนมกราคม ปี ค.ศ.2018 จากนั้นเพียงประมาณ 3 เดือน บริษัททาทาก็แต่งตั้งเขาให้ช่วยเสริมสร้างสถานะทางธุรกิจของเครือบริษัททาทาทั่วโลก
ในปี ค.ศ.2019 สวราชไม่ขอลงเลือกตั้งเพราะปัญหาทางสุขภาพ และอีกประมาณ 1 เดือนหลังเลือกตั้งทั่วไปเธอก็อำลาจากโลกไป
ไม่ทราบว่าโมดีมีใครอื่นในใจหรือไม่ ทว่าการตัดสินใจแต่งตั้งชัยศังกรเป็นรัฐมนตรีนับได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของโมดีครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้
ที่น่ายกย่องมากเป็นพิเศษ เพราะโมดีให้ความสำคัญของประเทศอยู่เหนือกว่าการเมือง ที่ซึ่งจะต้องมาคอยแต่งตั้งใครต่อใครตามการเมืองของพรรค โมดีจัดการเรื่องการเมืองให้ชัยศังกรในตำแหน่งสมาชิกสูงแห่งราชยสภา
เมื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฯ ชัยศังกรก็ได้สำแดงให้เห็นว่าโมดีตัดสินใจได้ถูกต้องที่สุด
ไม่ว่าการดำเนินนโยบายการต่างประเทศในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในระดับทวิภาคี ซึ่งนับได้ว่าในปี ค.ศ.2023 นี้เติมเต็มความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองให้เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างครอบคลุมยิ่ง ไม่ว่าจะความสัมพันธ์ระดับพหุภาคีแบบอินโด-แปซิฟิกที่ชัยศังกรได้มีบทบาทเติมเต็ม แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาบีบให้อินเดียประณามรัสเซียที่บุกยูเครนหรือพม่าที่ทำรัฐประหาร ไม่ว่าจะอากัปกิริยาอันแข็งกล้าของชัยศังกรต่อจีนในประเด็นข้อพิพาททางดินแดน ไม่ว่าการจัดประชุม G20 ที่อินเดียประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด
ล้วนแต่สื่อให้เห็นว่าชัยศังกรได้กลายเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดคนหนึ่งของอินเดีย
พึงสังเกตว่า ความคิดว่าด้วยเรียลลิสต์เชิงปฏิบัติของชัยศังกรประจักษ์ชัดเจนยิ่งขึ้นนับตั้งแต่ชัยศังกรดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
มีหลัก 2 ประการที่เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
1. อินเดียจะต้องเป็นหนึ่งในประเทศที่ “นำ” ไม่ใช่ประเทศที่ “ตาม” กล่าวอีกนัยคือ อินเดียจะมิใช่ประเทศที่คอยแต่จะมีปฏิกิริยาหลังเกิดเหตุใด ๆ หรือเป็นประเทศที่ถ่วงดุลอำนาจตามความคาดหวังของประเทศใด
2. การเป็นประเทศ “นำ” ที่ว่านี้ อินเดียไม่ประสงค์ที่จะรื้อถอนระบบระหว่างประเทศ หากแต่เสนอให้ปฏิรูประบบระหว่างประเทศให้มีประชาธิปไตยมากขึ้น และสะท้อนโลกตามความเป็นจริง การปฏิรูปที่ว่านี้ รวมถึงการให้อินเดียเป็นสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และการเปิดช่องทางให้ประเทศกำลังพัฒนามีบทบาทในเวทีโลกมากยิ่งขึ้นด้วย
อาจจะด้วยเหตุนี้หรือไม่ที่นักวิชาการบางคนเรียกชัยศังกรว่าเป็น เรียลลิสต์แบบเสรีนิยม (Liberal Realism)
กล่าวคือในขณะที่อินเดียส่งเสริมหลักเสรีนิยมระดับโลก อินเดียก็จะดำเนินตามหลักผลประโยชน์แห่งชาติด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะทั้งสองหลักสัมพันธ์กันในแง่ที่ว่า การเป็นประเทศ “นำ” ของอินเดียหมายถึง การที่อินเดียจะมีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมปทัสถานระหว่างประเทศ และหยั่งอิทธิพลต่อระบบระหว่างประเทศเพื่อเพิ่มพูนความมั่นคงแห่งชาติอินเดียทั้งแบบดั้งเดิมและแบบไม่ดั้งเดิม
ซึ่งประการหลังมีตัวอย่างเช่น เรื่องความรับผิดชอบของอินเดียต่อประเด็นด้านความมั่นคงของมนุษย์ ภาวะโลกร้อน และการต่อต้านก่อการร้ายข้ามชาติ เป็นต้น
สำหรับอินเดียแล้ว ประเด็นการก่อการร้ายคือเรื่องเดียวกันกับปากีสถาน กล่าวคือ อินเดียพร้อมที่จะใช้เวทีระหว่างประเทศกดดันปากีสถานในเรื่องการสนับสนุนการก่อการร้าย ในขณะเดียวกัน อินเดียก็จะไม่ขวยเขินที่จะใช้กำลังตอบโต้ปากีสถานอย่างแน่นอน
เรื่องของจีนก็เช่นเดียวกัน อินเดียพร้อมที่จะใช้กลไกระหว่างประเทศทุกครั้งที่จีนละเมิดกฎกติกาอันสัมพันธ์กับพื้นที่พิพาท ทว่าการเตรียมตอบโต้จีนก็ไม่ใช่เรื่องห่างไกลนัก
ขณะนี้แลดูเหมือนอินเดียกำลังซื้อเวลาเพื่อพัฒนาการทหารของตนให้ทันหรือไปไกลกว่าจีน ดังที่ครั้งหนึ่งชัยศังกรเคยกล่าวในลักษณะข่มขู่ว่า “ถ้าคุณยื่นมือมาหาผม ผมก็จะยื่นมือไปจับมือคุณ แต่ถ้าคุณเล็งปืนมาที่ผม ผมก็จะเล็งปืนไปที่คุณ”
เวลานี้สิ่งที่แน่ชัดคือ ความเป็นเรียลลิสต์แบบอินเดียที่สุพราหมัณยัมได้ริเริ่มคิดไว้ บัดนี้ปรากฏอยู่ในตัวลูกอย่างชัดเจนแล้ว แม้ทั้งสองไม่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ทว่าประวัติศาสตร์จะปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้ นั่นคือ สองคนนี้คือบุคคลสำคัญเบื้องหลังการขยับขับเคลื่อนอินเดียสู่ความเป็นเรียลลิสต์เชิงปฏิบัติอย่างเต็มตัว
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ