วันที่ 9 มีนาคม 2567
เพลง Tere Naam (ชื่อของเธอ)
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน คือเรื่อง “Tere Naam” ฉายในปี ค.ศ. 2003 นำแสดงโดย ซัลมาน ข่าน (Salman Khan) และ ภูมิกา จาวลา (Bhumika Chawla) ส่วนเพลงที่เปิดนั้นขับร้องโดย อุทิต นารายัณ ฌา (Udit Narayan Jha) นักร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ระดับตำนานคนหนึ่ง ผู้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ได้หลากหลายภาษา ได้รับรางวัลเกียรติยศนักร้องชายยอดเยี่ยมจากประธานาธิบดีเอ.พี.เจ. อับดุล กะลาม (A.P.J. Abdul Kalam) และ อิสริยาภรณ์ปัทมภูษัณจากประธานาธิบดีประนัพ มุขัรจี (Pranab Mukheerjee) ด้วย
ที่เลือกเพลงนี้มาเพราะชื่อเพลงสัมพันธ์กับหัวข้อในวันนี้คือ “ชื่อนั้นสำคัญไฉน”
ก่อนหน้านี้มีคำถามน่าสนใจจากทางบ้านอยู่ข้อหนึ่งซึ่งถามผ่านมาทางไลน์ส่วนตัวว่า เวลาที่พวกเราพูดคุยกันในรายการและกล่าวถึงชื่อคนอินเดีย เรามักพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า ชื่อนี้คนที่ได้ยินจะพอเดาได้เลยว่าเป็นคนใต้ เป็นเบงกาลี เป็นมุสลิม เป็นปาร์ซี และอื่น ๆ อีกมากมาย
เขาสงสัยว่าเราแยกแยะได้อย่างไร อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ชื่อคนเหล่านี้แตกต่างกัน และระบบการใช้ชื่อคนอินเดียเป็นอย่างไร มีกี่วรรค
นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่า มีบางชื่อที่เรามักจะอ่านออกเสียงให้ฟังแบบไทย ๆ ซึ่งน่าสนใจมากที่ชื่ออินเดียบ่อยครั้งก็เหมือนชื่อคนไทยมาก หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องก็คงต้องว่าชื่อคนไทยเหมือนกับชื่อคนอินเดียต่างหาก
ผมเห็นว่าเรื่องชื่อของคนอินเดียเป็นชื่อที่น่าสนใจและมีเรื่องน่ารู้มากมาย จึงคิดว่าน่าจะรวบรวมเกร็ดความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งละอันพันละน้อยเกี่ยวกับชื่อคนอินเดียมาเล่าให้ฟัง
ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนว่า สิ่งที่ผู้ฟังท่านนี้ตั้งข้อสังเกตนั้นน่าสนใจมาก เป็นเรื่องจริงที่พวกเรามักจะพูดอย่างนั้นเสมอว่าชื่อนั้นชื่อนี้ เวลาฟังแล้วจะพอเดาได้ว่ามาจากถิ่นใดหรือเป็นชาติพันธุ์ใด
ปัจจัยที่ทำให้ชื่อของคนอินเดียแตกต่างกันนั้น หลัก ๆ มาจากภาษาที่พูดในถิ่นนั้นนั่นเอง แม้แต่ชื่อเดียวกันก็อาจออกเสียงแตกต่างกันในแต่ละภาษา ทำให้เดาได้อย่างคร่าว ๆ ว่ามีที่มาจากมลรัฐหรือภาคใด นอกจากนี้หากเป็นคนอินเดียด้วยกันแล้ว เมื่อได้ยินชื่อก็จะทราบถึงรายละเอียดของภูมิหลังหรือถิ่นที่มาไปจนถึงชาติพันธุ์หรือวรรณะของคนผู้นั้นได้เลย ซึ่งบางครั้งก็อาจหลีกเลี่ยงมิได้ที่จะทำให้เกิดการแบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติด้วยเหตุของชื่อและนามสกุล
เราทราบกันอย่างคร่าว ๆ ว่ามีสี่วรรณะหลัก คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และศูทร นอกจากนี้ยังมีกลุ่มนอกวรรณะที่คนไทยมักเรียกว่าจัณฑาล ขณะที่คนกลุ่มนี้เองอยากให้เรียกพวกตนว่า “ทลิต”
นัยสำคัญของการแบ่งแยกวรรณะที่ส่งผลต่อชื่อก็คือ ตระกูลใดเป็นที่ทราบว่ามาจากวรรณะใดก็จะอยู่ในวรรณะนั้นไปตลอด
แม้กระทั่งในสมัยพุทธกาลก็มีหลักฐานว่ามีการแบ่งแยกระดับสูงต่ำของตระกูล เช่น ในพระวินัยปิฎก ปาจิตติยกัณฑ์ มุสาวาทวรรคข้อ 2 ซึ่งห้ามภิกษุเสียดสีด่าทอกัน ได้ยกตัวอย่างประกอบการเหยียดหยามกันด้วยชาติตระกูลว่า ตระกูลโกสิยะ ตระกูลภารทวาชะ เป็นต้น ถือกันว่าเป็นตระกูลต่ำ และตระกูลโคตมะ ตระกูลโมคคัลลานะ ตระกูลกัจจายนะ ตระกูลวาเสฏฐะ เป็นต้น ถือกันว่าเป็นตระกูลสูง
ดังนั้นนัยสำคัญของชื่อในวัฒนธรรมอินเดียที่ใช้บ่งบอกต้นกำเนิดของคนนั้นจึงเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว
โดยปกติแล้วประกอบด้วยชื่อตัวและนามสกุล บางท้องถิ่น นามสกุลจะวางไว้ข้างหลัง บางท้องถิ่นก็วางไว้ข้างหน้าชื่อตัว นามสกุลเหล่านี้บ่งชี้ถึงหมู่บ้านต้นกำเนิด วรรณะ ตระกูล ตำแหน่งหน้าที่ของบรรพบุรุษ การประกอบอาชีพ แขนงศิลปะ และการค้าขายของบรรพบุรุษ
ในบางถิ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเดียใต้ มักจะไม่ได้ใช้นามสกุลเหมือนระบบของคนอินเดียทั่ว ๆ ไป แต่จะใช้ชื่อของพ่อมาต่อท้ายชื่อตัวเป็นวรรคที่สอง นอกจากนี้สตรีที่สมรสแล้ว แทนที่จะใช้นามสกุลร่วมกับสามี ก็เป็นเรื่องปกติที่จะใช้ชื่อตัวของสามีมาต่อท้ายเป็นวรรคที่สองของชื่อตนเอง

ชื่อบิดาหรือชื่อบรรพบุรุษ จะใช้ในรูปแบบดั้งเดิมหรือในรูปแบบที่แผลงมาแล้วก็มี เช่น บะรันวาล (Baranwal) หรือ บานวาล (Barnwal) หรือ เบิร์นวาล (Burnwal) มาจากบรรพบุรุษตระกูล อะหิบะรัน (Ahibaran)
อาชีพ เช่น จามาร์ (Chamar) ปาเตล (Patel) หรือปาติล (Patil) หมายถึงผู้ใหญ่บ้าน คานธี (Gandhi) กามัฐ (Kamath) กุลกรรณี (Kulkarni) เป็นพวกดูแลบัญชี บันทึกและเก็บภาษี นามสกุลนักบวชจะมีเช่น ภัต (Bhat) ศาสตรี (Sastry) ตริเวที (Trivedi) ศุกลา (Shukla) จตุรเวที (Chaturvedi) ทวิเวที (Twivedi) ปุโรหิต (Purohit) มุโขปาธยาย (Mukhopadhyay) เป็นต้น นักธุรกิจก็จะมีเช่น เศฏฐี (Shetty) ราย (Rai) เฮกเด (Hegde) นอกจากนี้ ตระกูลปาร์ซี (Parsi) โบห์รา (Bohra) และครอบครัวชาวคุชราตีจำนวนมากยังใช้ชื่อทางการค้าภาษาอังกฤษเป็นนามสกุลตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 และ 19
ชื่อวรรณะหรือกลุ่ม เช่น ปิลไล (Pillai) เกาดา (Gowda) ปาร์มาร์ (Parmar) สินธี (Sindhi) เรดดี้ (Reddy) ไนร์ (Nair) และ ไนดู (Naidu) เป็นต้น เหล่านี้ไม่ใช่นามสกุล แต่เป็นคำต่อท้ายของชื่อเพื่อระบุถึงกลุ่มหรือวรรณะของพวกเขา
ชื่อสถานที่หรือชื่อที่ได้มาจากสถานที่ต้นกำเนิดบรรพบุรุษ เช่น มาร์วารี (Marwari) มังเคศการ์ (Mangeshkar) กะปูร์ (Kapoor) กรรนาท (Karnad) สันธู (Sandhu) เป็นต้น
ตำแหน่งหรือบรรดาศักดิ์ที่กษัตริย์ มหาราชา หรือนะวาบ พระราชทานให้ก่อนช่วงอังกฤษเข้ามาปกครอง เช่น วาลี (Wali) ราว (Rao) ฐากูร (Thakur) และบรรดาศักดิ์ที่อังกฤษมอบให้ เช่น ราย (Rai) บะฮาดูร (Bahadur) เป็นต้น
ชาวมุสลิม มักใช้การตั้งชื่อลักษณะเดียวกับมุสลิมในปากีสถานทั่ว ๆ ไป ข่าน (Khan) เป็นนามสกุลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งมักสื่อถึงเชื้อสายอัฟกานิสถานหรือเอเชียกลาง ส่วนชื่อตัวก็มักไม่ต่างกับมุสลิมในที่อื่น ๆ ทั่วโลก ขณะที่ชาวเชนโดยทั่วไปมักจะใช้นามสกุลว่า เชน (Jain) ชาห์ (Shah) ฟิโรเดีย (Firodia) สิงหัล (Singhal) หรือคุปตะ (Gupta) เป็นต้น
ชาวซิกข์จะมีธรรมเนียมพิเศษ คือใช้คำว่าสิงห์ (Singh) สำหรับผู้ชาย และ กอร์ (Kaur) สำหรับผู้หญิงเพิ่มเข้าไปเป็นวรรคที่สองในชื่อของตน และหลังจากนั้นอาจตามด้วยนามสกุลอีก ตัวอย่างเช่น มนเตก สิงห์ อาห์ลูวาเลีย (Montek Singh Ahluwalia) หรือ สุรินเดอร์ กอร์ บาดาล (Surinder Kaur Badal) เป็นต้น
ที่มาของการใช้คำว่าสิงห์และกอร์นี้ มาจากบัญชาของคุรุองค์ที่สิบแห่งศาสนาซิกข์ คือท่านคุรุโคบินท์ สิงห์ (Guru Gobind Singh Ji) ให้ผู้ชายชาวซิกข์เพิ่มคำว่า สิงห์ ลงในนามของเขา และผู้หญิงชาวซิกข์เพิ่มคำว่า กอร์ ลงในนามของเธอ ชื่อกลางอื่น ๆ ที่บางครั้งใช้ประกอบเป็นวรรคในชื่อก็มีเช่น กุมาร (Kumar) เทพ (Dev) ลาล (Lal) และ จันท์ (Chand) นอกจากนี้ ก่อนที่จะถึงชื่อตัว ก็มีการใช้คำนำหน้าว่า สารทาร (Sardar) สำหรับผู้ชาย และ สารทารนี (Sardarni) สำหรับผู้หญิงด้วย
สมควรกล่าวถึงอีกข้อด้วยว่า การตั้งชื่อของชาวซิกข์มีธรรมเนียมค่อนข้างน่าสนใจ สิ่งที่มักจะทำเป็นประจำคือ เมื่อจะตั้งชื่อเด็กทารกมักจะใช้วิธีสุ่มพลิกพระคัมภีร์สิริคุรุครันถสาหิบ เมื่อเปิดไปหน้าที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรใด ก็จะใช้อักษรนั้นมาเป็นอักษรนำหน้าชื่อเด็กทารกคนนั้น เสมือนหนึ่งว่าเป็นชื่อที่พระเจ้าประทานมาให้
ในเบงกอล ชื่อบุคคลมักจะมีสองวรรคคือชื่อต้นและนามสกุล หรือสามวรรคคือชื่อต้น ชื่อกลาง และนามสกุล คนที่ใช้ชื่อสามวรรคมีตัวอย่างเช่น สุภาส จันทร โบส (Subhas Chandra Bose) ราม โมหัน รอย (Ram Mohan Roy) อมรรตยะ กุมาร เสน (Amartya Kumar Sen) นามสกุลที่พบบ่อยของชาวเบงกอลอาจแยกได้เป็นประเภทต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่อิงวรรณะ วรรณะพราหมณ์ก็มีตัวอย่างเช่น จักรพรรตี (Chakraborty) ฉัตเตอร์จี (Chatterjee) (ซึ่งมาจากคำเต็มว่า ฉัตโตปาธยาย (Chattopadhyay)) คังคุลี (Ganguly) โคสวามี (Goswamy) มุขัรจี (Mukherjee) (หรือ มุโขปาธยาย (Mukhopadhyay)) วรรณะกษัตริย์หรือที่ทางเบงกอลเรียกว่า กายัสถะ (Kayastha) ก็มีเช่น โบส (Bose) ทัตตะ (Dutta) โฆษ (Ghosh) จอธุรี (Choudhury) เป็นต้น
ในคุชราต บ้านเกิดของนายกรัฐมนตรีโมดี มักจะมีธรรมเนียมการใช้ชื่อสามวรรค โดยวรรคแรกเป็นชื่อตัว วรรคที่สองเป็นชื่อตัวของพ่อ ส่วนวรรคสุดท้ายเป็นนามสกุลซึ่งจะบ่งบอกวรรณะ ตัวอย่างที่ดีเห็นจะได้แก่นายกโมดีเอง ใช้ชื่อว่า นเรนทระ ทาโมทรทาส โมดี (Narendra Damodardas Modi) ชื่อนเรนทระเป็นชื่อตัว ทาโมทรทาสเป็นชื่อบิดาของท่าน ส่วนโมดีที่เป็นนามสกุลนั้นบ่งบอกว่าอยู่ในวรรณะ เตลี (Teli) ซึ่งมักจะประกอบอาชีพขายน้ำมัน อีกตัวอย่างหนึ่งคือมหาตมาคานธี เดิมท่านกำเนิดในชื่อ โมหันทาส กรัมจันท์ คานธี (Mohandas Karamchand Gandhi) คำว่ากรัมจันท์ คือชื่อบิดาของท่าน ที่มีนามว่า กรัมจันท์ อุตตัมจันท์ คานธี (Karamchand Uttamchand Gandhi) ส่วนนามสกุลคานธีนั้นเป็นวรรณะบานิยา (Baniya) หรือพ่อค้า ที่ค้าขายน้ำหอมเป็นหลัก คำว่า คานธี มีรากศัพท์มาจาก คันธะ (Gandha) ที่แปลว่ากลิ่น
ชื่อภาษาทมิฬ มักมีรูปแบบดังนี้คือ ตัวย่อชื่อหมู่บ้าน ตัวย่อชื่อพ่อ ชื่อตัว ชื่อวรรณะ ตัวอย่าง เช่น อี.วี. รามสามี (E.V. Ramasamy) ตัว E ย่อมาจากอีโรด (Erode) ซึ่งเป็นชื่อเขตหนึ่งในทมิฬนาฑู และตัว V ย่อมาจากเวงกฏัปปะ (Venkatappa) ซึ่งเป็นชื่อของพ่อ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ อาร์. กรรติก (R. Karthik) โดยที่ อาร์. ย่อมาจาก รวิจันทรัน (Ravichandran) ซึ่งเป็นชื่อพ่อ การใช้ชื่อพ่อเป็นชื่อที่สอง หมายความว่าชื่อของรุ่นหนึ่งจะกลายเป็นชื่อที่สองของรุ่นถัดไป เมื่อเขียนแบบเต็ม (เช่น บนหนังสือเดินทาง) ชื่อย่อจะขยายออกมาและสลับเป็นนามสกุล ตัวอย่างเช่น ชื่อเช่น “อาร์. ราเมศ” หรือ “ราเมศ อาร์.” อาจเขียนเต็มได้ว่า "ราเมศ ราไมยาห์" หมายถึง "ราเมศบุตรของราไมยาห์" ถ้าราเมศมีลูกชายชื่อวิชัย ชื่อของเขาจะเป็น “อาร์. วิชัย” หรือ “วิชัย ราเมศ” เรื่องของการเขียนชื่อบนหนังสือเดินทาง เราเคยพบแม้กระทั่งว่าเขียนชื่อลงไปเพียงวรรคเดียวโดยไม่มีชื่อย่อหรือนามสกุลใด ๆ ทั้งสิ้น
ชาวเตลูกู มีรูปแบบการตั้งชื่อที่แตกต่างจากส่วนที่เหลือของอินเดีย นามสกุลชาวเตลูกูจะถูกใช้ในรูปศัพท์แสดงความเป็นเจ้าของ ดังนั้นจึงมาก่อนชื่อตัว การปฏิบัติในการใส่ชื่อสกุลไว้ก่อนนี้มีให้เห็นในภาษาจีนและภาษาฮังกาเรียนด้วย ดังนั้นรูปแบบ "นามสกุล-ชื่อ" จึงแตกต่างกับอินเดียเหนือ ซึ่งนามสกุลมักจะปรากฏอยู่ท้ายสุดหรือส่วนอื่น ๆ ของอินเดียใต้ซึ่งมีการใช้ชื่อสกุลน้อย สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความสับสนในระดับที่แตกต่างกันไปภายในอินเดียและส่วนอื่น ๆ ของโลก นอกจากนี้ชาวเตลูกูยังมีธรรมเนียมการตั้งชื่อตามพระนามของเทพเจ้าและเทพีองค์ต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่
การตั้งชื่อตัวตามเทพฮินดูองค์ต่าง ๆ มิใช่สิ่งที่คนไทยนิยมทำนัก เพราะคนไทยมักเชื่อว่าชื่อของเทพเป็นสิ่งที่สูงส่ง ไม่ควรเอามาตั้งชื่อคนทั่วไป แน่นอนว่ามีบางชื่อที่คนไทยใช้บ้าง เช่น กฤษณะ พิษณุ แต่ก็มีไม่มากพอจะบอกว่าเป็นความนิยมได้ ทว่าคนอินเดียกลับคิดตรงกันข้าม คือชอบตั้งชื่อเทพหรือเทพีที่ตนโปรดปราน โดยเชื่อว่าเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต จึงมีชื่อตัวของคนอินเดียนับพัน ๆ ชื่อที่หมายความถึงองค์เทพ เช่น รฆุ (Raghu) ศังกร (Shankar) นารายัณ (Narayan) โคปาล (Gopal) โมหัน (Mohan) ลักษมี (Lakshmi) ปารวตี (Parvati) และอื่น ๆ
นอกเหนือจากในท้องถิ่นที่กล่าวมา ยังคงมีความแตกต่างหลากหลายอีกมากมายที่ไม่สามารถนำเสนอในเวลาอันสั้นได้หมด ทั้งนี้เพราะอินเดียประกอบด้วยหลายชาติพันธุ์มาก เช่น ชาวปาร์ซีจะมีชื่อแบบของตนเองที่เป็นเอกลักษณ์ ขณะที่ในบริเวณตะวันออกเฉียงเหนืออินเดีย เรามักพบคนที่มีชื่อแปลก ๆ ไปจากที่อื่น เพราะภาษาที่ภูมิภาคดังกล่าวใช้นั้นมีหลากหลายตระกูล
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ