วันที่ 23 มีนาคม 2567
เพลง Rang
เพลง “Rang” เป็นคำสั้น ๆ ที่คนไทยเรารู้จักกันดีในภาษาไทยว่า “รงค์” แปลว่า สี เช่นในคำว่า “ธงไตรรงค์” ที่แปลว่า ธงสามสี หมายถึงธงชาติไทย และบังเอิญธงชาติอินเดียก็เรียกว่าธงติรังคะคือสามสีเช่นกัน หรือคำว่า “เครื่องเบญจรงค์” ที่หมายถึงเครื่องเคลือบแบบไทยที่เขียนลวดลายด้วยสีหลักห้าสี เป็นต้น
เพลงนี้ไม่ใช่เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องใด เป็นชิ้นงานเพลงอิสระในรูปแบบมิวสิกวิดีโอ ประพันธ์และเรียบเรียงดนตรีโดย ศุภทีป มิตระ (Subhadip Mitra) กำกับมิวสิกวิดีโอโดยกวิตา มิตระ (Kavita Mitra) เสียงร้องเป็นของ อมฤตา คางคุลี (Amrita Ganguly) โสมา จักรพรรตี (Soma Chakrabarty) และสันทีปัน คางคุลี (Sandipan Ganguly)
เนื้อเพลงมีลักษณะเป็นบทกวี มีลีลาการใช้คำที่น่าสนใจ ขอยกตัวอย่างบทต้น ๆ ให้ฟัง
Rangon se rang khilte hain (สีสันเบ่งบานจากสีสัน)
Rangon mein rang milte hain (สีสันผสมกันเป็นสีใหม่)
Jo rang main tumhein deti hun (สีสันที่ฉันให้แก่เธอไป)
Jo rang main tumse leti hun (สีสันที่ฉันได้จากเธอมา)
Jo rang hain meri chintaon mein (สีสันที่อยู่ในห้วงความคิด)
Jo rang hain meri ashaon mein (สีสันที่หวังจิตปรารถนา)
Meri kalam, mere kagaz par (สีสันบนกระดาษวาดปากกา)
Rang hain meri bhasaon mein (สีสันอยู่ในภาษาของฉันเอง)
ผู้ฟังอาจสงสัยว่าเราจะพูดถึงสีสันต่าง ๆ ในแง่มุมไหน เพราะว่ามีหลากหลายแง่มุมเหลือเกิน เป็นที่รับรู้กันว่าอินเดียเป็นวัฒนธรรมที่นิยมสีสันเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องการตกแต่งประดับประดาสถานที่และการแต่งกายของผู้คนล้วนแต่มีสีสันสดใสฉูดฉาด แม้กระทั่งอาหารอินเดียก็ยังดูมีหลากสี เทศกาลที่มีสีสันมากที่สุดก็คือเทศกาลโฮลีซึ่งผู้คนจะเล่นสาดสีฝุ่นเข้าใส่กัน
รวมความแล้วประเทศอินเดียเต็มไปด้วยสีสันอยู่ในทุกแง่มุมของชีวิต แต่เรื่องสีนั้นสัมพันธ์กับวัฒนธรรมอินเดียอย่างไร วันนี้เราจะหยิบยกเกร็ดมาเล่าให้ฟังพอสังเขป
อาจมองย้อนไปได้ถึงยุคโบราณ ในปรัชญาฮินดูว่าด้วยไตรคุณ หมายถึงลักษณะด้านที่แตกต่างกันสามด้านซึ่งมีอยู่ในแต่ละสรรพสิ่ง มีการโยงสีสันเข้ากับคุณแต่ละด้าน ดังนี้
1. ตมัส หมายถึง ลักษณะเฉื่อยชาทึมทึบ แทนด้วยสีดำ
2. รชัส หมายถึง ลักษณะเกรี้ยวกราดร้อนแรง แทนด้วยสีแดง
3. สัตตวะ หมายถึง ลักษณะบริสุทธิ์ สง่างาม และความจริง แทนด้วยสีขาว
ด้วยเหตุนี้เรามักไม่ค่อยเห็นคนอินเดียแต่งการด้วยสีดำล้วน เพราะน้อยคนจะชอบสีดำที่มีความหมายไปในทางการทำลายล้างและความตาย
ความหมายของสีขาวก็น่าสนใจไม่น้อย นอกจากจะแทนความบริสุทธิ์ ความสงบเยือกเย็นและความรู้แล้ว ยังมีนัยถึงการไว้ทุกข์ให้แก่คนที่รักด้วย ดังนั้นเราจะเห็นว่านักบวชหรือคุรุผู้ทรงภูมิหลายท่านจะครองผ้าสีขาว แสดงถึงความบริสุทธิ์สะอาดพ้นจากเรื่องราวทางโลก ในขณะเดียวกันแม่หม้ายก็มีธรรมเนียมต้องนุ่งห่มสีขาวด้วยเช่นกัน หรือแม้กระทั่งอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่ทุกคนรู้จักกันดีคือตาชมะฮัล ก็ก่อสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวล้วนอันแสดงถึงการไว้ทุกข์
สีฟ้าซึ่งเป็นสีของน้ำ มหาสมุทร และท้องฟ้ามีนัยถึงความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นอนันต์ ทั้งยังหมายถึงชีวิตและขุมพลัง เราจึงสังเกตได้ว่า จิตรกรรมหรือเทวรูปของเทพฮินดูหลายองค์ จะมีพระวรกายสีฟ้า ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ พระกฤษณะ อีกองค์คือพระศิวะ ซึ่งมีทั้งพระวรกายสีฟ้า สีขาว หรือสีเทา นี่เป็นเหตุที่ชาวฮินดูหลายคนชอบสวมใส่เสื้อผ้าสีฟ้า เชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าอันตรายให้ห่างไกลจากตัว
สีเหลืองมีสถานะเป็นสีศักดิ์สิทธิ์อีกสีหนึ่ง แสดงถึงความสมดุล ความอบอุ่น ความสว่างเรืองรอง ฤดูใบไม้ผลิ ใช้ในโอกาสงานเฉลิมฉลอง เช่น ในวันวสันต์ปัญจมี ผู้คนจะพากันสวมเสื้อผ้าสีเหลือง รับประทานขนมสีเหลือง ถวายดอกไม้และเครื่องทรงสีเหลืองแก่เทวรูปสรัสวดีเทวีผู้เป็นประธานแห่งวสันต์ปัญจมี เป็นต้น
สีเขียวแสดงถึงธรรมชาติ พืชพันธุ์ ความอุดมสมบูรณ์ การผลิงอกใหม่ ชีวิตใหม่ แน่นอนว่าสำคัญต่อประเทศเกษตรกรรมอย่างอินเดียมาก นอกจากนั้นยังเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นสีประจำของอิสลาม ในธงชาติอินเดีย สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติ การเจริญเติบโต ความรุ่งเรือง ในแถบที่ราบสูงเดกข่าน เจ้าสาวมักสวมชุดสีเขียวต่างจากส่วนอื่นของประเทศที่มักสวมชุดสีแดง ทั้งนี้เพื่อสื่อถึงการเจริญพันธุ์ มีลูกหลานมากมาย
สีส้มหรือสีแสด (ส้มอมแดง) หรือที่เรียกกันว่า เกสร (kesar) อันหมายถึงหญ้าฝรั่น (saffron) เป็นสัญลักษณ์แห่งภูมิปัญญาและความรักในวัฒนธรรมอินเดีย แม้แต่สีประจำพรรครัฐบาลปัจจุบันในอินเดีย (ภารตียชนตา – BJP) ก็เป็นสีส้ม นอกจากนี้คุรุ พระภิกษุ โยคี และบรรดาสวามีก็มักครองผ้าหรือโพกศีรษะด้วยผ้าสีนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ที่สำคัญที่สุดคือเป็นอีกสีหนึ่งที่ปรากฏบนธงชาติอินเดียด้วย อันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความกล้าหาญและเสียสละ
สีแดงก็อย่างที่เรากล่าวไว้เบื้องต้นว่าเป็นสีที่มีรชัสคุณ จึงถูกเรียกว่า รักตะ (rakta) ที่มาจากรากเดียวกับ รชัส อันที่จริงในทางภาษา คำว่า รังคะ หรือรงค์ ที่แปลว่าสี รวมไปถึงคำว่า ราคะ ที่แปลได้ทั้งอารมณ์ใคร่ ดนตรี หรือความโกรธ ก่อกำเนิดมาจากรากเดียวกับ รชัส ด้วย
สีแดงจึงสื่อถึงอารมณ์ร้อนแรง พลวัต การจุดประกาย พลังงานและกิจกรรม เป็นสีที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานแต่งงานของชาวอินเดีย ตามธรรมเนียมฮินดู เจ้าสาวยังคงนิยมนุ่งห่มสีแดงในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวจะเจิมหน้าผากเจ้าสาวด้วยสีแดงชาดอันเป็นสัญลักษณ์ของการแต่งงาน ความเจริญรุ่งเรือง ความอุดมสมบูรณ์ และความสุขในชีวิตสมรส ตามธรรมเนียมผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะสวมใส่สีแดงเฉพาะต่อเมื่อสามียังมีชีวิตอยู่ หญิงหม้ายห้ามไม่ให้สวมสีแดง และจะถูกบังคับให้สวมชุดสีขาว
ในโหราศาสตร์ฮินดู สีแดงยังเชื่อมโยงกับมงคลเคราะห์ (Mangal Graha) หรือดาวเคราะห์พระอังคารด้วย ซึ่งเมื่อจรเข้ามาครองดวงชะตา มักจะทำให้เกิดโทษหรือเคราะห์ร้าย คนที่ดาวพระอังคารเข้าครองดวงชะตา หรือที่ภาษาโหราศาสตร์เรียกว่ากุมลัคนา เรียกว่า มังคลิก (Manglik) มักถือกันว่าถ้าจะแต่งงานก็ต้องแต่งกับมังคลิกด้วยกัน พลังของผู้หญิงหรือศักติ (Shakti) ก็มีความเกี่ยวข้องกับสีแดง พระแม่กาลีก็มีพระชิวหา (ลิ้น) สีแดง หมายถึง ความโกรธ อำนาจ ความหลงใหล เลือด และความเร้นลับแห่งสตรีเพศ นอกจากนี้ยังหมายถึงความรักด้วย เพราะความรักเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยปรารถนาและอารมณ์ร้อนแรง

การย้อมสิ่งทอในบริเวณอนุทวีปอินเดียมีประวัติย้อนกลับไปยาวนานถึงกว่าสี่พันปี โดยหลักฐานแรกสุดคือเศษผ้าย้อมสีจากโมเฮนโจ-ดาโรในหุบเขาสินธุ ซึ่งเก่าแก่ถึงสองพันปีก่อนคริสตศักราช
สันนิษฐานกันว่าการค้าสีย้อมอาจเริ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันนี้ โดยอิงจากร่องรอยของคราม (indigo) ที่พบในสุสานของอียิปต์ และบันทึกการค้ากับภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนในเวลาต่อมา กิจกรรมเชิงพาณิชย์เกี่ยวกับสีย้อมธรรมชาติพุ่งสูงขึ้นในช่วงยุคกลางและช่วงต้นอาณานิคมในรูปแบบของผ้าพิมพ์ลายบล็อคและผ้ากะลัมการี (kalamkari) ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยสีย้อมสังเคราะห์ของยุโรปเป็นส่วนใหญ่
สีย้อมของอินเดียเป็นที่ต้องการมากในท้องตลาด ไม่เพียงเพราะมีสีสันสดใสเท่านั้น แต่ยังเนื่องมาจากกระบวนการย้อมแบบดั้งเดิมที่ทำอย่างพิถีพิถัน มีการใช้เกลือแร่หรือสารรักษาสีที่ช่วยให้สีติดในเนื้อผ้า ทำให้สีมีความทนทานเป็นพิเศษ
วัสดุจากธรรมชาติที่เป็นแหล่งที่มาของสีต่าง ๆ เช่น สีน้ำเงินหรือที่ภาษาสันสกฤตเรียกว่า นีล (neel) ได้มาจากคราม สีดำจากได้จากลูกสมอดำที่เรียกว่า หริตากี (haritaki) และเปลือกของต้นอะคาเซีย เรียกว่า แคร์ (khair) สีแดงหลายเฉดได้จากต้นแมดเดอร์ (manjistha) ต้นหม่อนอินเดีย (aal) รากจาย (chay) และครั่ง (lac) ซึ่งเป็นแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่ง
สีย้อมต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นติดทนยาวนานที่สุด จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสีเหล่านี้ยังคงมองเห็นได้บนเนื้อผ้าแม้ว่าเวลาจะผ่านไปยาวนานนับพันปี ในขณะที่บางสีอาจจะซีดจางไปแล้ว เช่น สีย้อมสีเหลือง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากรากขมิ้น (haldi) และส่วนน้อยกว่ามาจากดอกคำฝอย (kusumba) ดอกทองกวาว (palash) และเปลือกทับทิม สีเหลืองตามธรรมชาตินั้นมีอายุค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับสีน้ำเงินหรือสีแดง เช่นเดียวกับสีย้อมผสมที่ใช้องค์ประกอบสีเหลือง เช่น สีเขียวและสีส้ม ก็จะซีดจางหรือเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่าเช่นกัน
ครามเคยนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับจักรวรรดิอังกฤษมาแล้ว ก่อนจะกล่าวถึงจุดนี้ ขอเล่าคร่าว ๆ ก่อนว่า ครามเป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ให้สีน้ำเงินสด
วิธีการสกัดสีจากคราม ก่อนที่ต้นครามจะออกดอก ช่างย้อมจะเก็บใบครามไปแช่น้ำและหมักไว้จนคายเอาสารสีน้ำเงินออกมา รอจนตกตะกอน ครามจะจับตัวกันเป็นปึก ซึ่งจะต้องนำเอามากรองน้ำ และอัดเป็นก้อน ตากแห้ง ค่อยนำไปใช้ประโยชน์ในการย้อมต่อไป
หลักฐานเก่าแก่ที่สุดของการใช้คราม พบในสุสานของฟาโรห์ อียิปต์ มีอายุถึงช่วงปลายยุคสำริด คือประมาณ 1200 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนบันทึกฝั่งอินเดียที่เก่าแก่ที่สุดพบในคัมภีร์อถรรพเวท ช่วงประมาณ 1000 ปีก่อนคริสตกาล ช่วงศตวรรษที่ 8-9 การค้าครามรุ่งเรืองมากในแถบมหาสมุทรอินเดีย และในช่วงศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ชาติตะวันตกอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสก็เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องด้วย ราคาครามก็ยิ่งพุ่งสูงมากเพราะเป็นที่ต้องการของชาวยุโรป เนื่องจากแม้ว่าครามจะราคาแพงแต่ก็สีสดและคงทนกว่าสีชนิดที่ใช้ในยุโรป
เดิมทีครามที่ใช้ในยุโรปช่วงยุคกลางมักผลิตจากไร่ครามแถบคุชราตและราชสถาน ต่อมาเมื่อบริษัทอินเดียตะวันออกเข้ามากุมอำนาจในอนุทวีป ได้เปลี่ยนฐานการผลิตครามมาอยู่ในแคว้นเบงกอล และได้ออกกฎหมายบังคับให้เจ้าของที่ดินผลิตครามตามสัดส่วนที่ดินของตน เจ้าของที่ดินจึงเกณฑ์แรงงานมาปลูกครามแทนการปลูกธัญพืชที่เป็นอาหารหลัก โดยจ่ายค่าแรงตอบแทนน้อยมาก
ผลคือเจ้าของไร่ครามและพ่อค้าอังกฤษฟันกำไรจากการค้าครามไปมากมาย ขณะที่คนงานไร่ครามอดอยาก นำไปสู่เหตุการณ์ที่เรียกว่า การปฏิวัติคราม ค.ศ. 1859 ซึ่งบรรดาคนงานไร่ครามในเบงกอลลุกฮือขึ้นประท้วงเจ้าของที่ดิน ทำให้ปีต่อมาอังกฤษต้องออกกฎหมายเพื่อป้องกันมิให้เกิดการกดขี่เช่นนี้อีก รู้จักกันในนาม “พระราชบัญญัติคราม ค.ศ. 1862” (Indigo Act 1862)
นี่เป็นเพียงหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวัสดุย้อมสีเพียงชนิดเดียวจากหลาย ๆ ชนิด ชนิดอื่น เช่น ต้นแมดเดอร์หรือแมลงครั่ง ก็มีความเป็นมาน่าสนใจไม่แพ้กัน แต่เราไม่มีเวลาจะเล่าได้ทั้งหมด จึงขอกล่าวสรุปแต่เพียงว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน อินเดียเป็นประเทศที่ไม่เคยขาดสีสันในทุกสถานที่ ทุกเทศกาล ทุกโอกาสของชีวิต อินเดียจะแสดงออกด้วยสีสันและให้ความหมายต่าง ๆ แก่สีสันอยู่เสมอ
รายงานทางเศรษฐกิจเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจสีย้อมของอินเดียยังเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะความต้องการสีย้อมไม่เคยลดลง และยิ่งมากขึ้นด้วยซ้ำเพราะเป็นที่ต้องการมากในวงการผลิตภัณฑ์ความงาม
อุตสาหกรรมสีย้อมในอินเดียมีผลผลิตถึง 186.21 ล้านตันในปี ค.ศ. 2023 แน่นอนว่า เรากำลังกล่าวถึงสีย้อมสมัยใหม่ที่สังเคราะห์โดยเทคโนโลยีทางเคมีสมัยใหม่ แต่ความสำเร็จดังกล่าวก็มีรากฐานอันสั่งสมมาจากความรู้ในการผลิตสีย้อมจากธรรมชาติในอดีตด้วยนั่นเอง
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ