"อมูล" สหกรณ์นมควายที่ใหญ่ที่สุดในโลก
1,462 views
0
0

เพลง Amul, Taste of India
เพลงที่เปิดไปวันนี้คือโฆษณาหนึ่งของอมูล (Amul) ซึ่งเนื้อหาสาระไปไกลมากกว่าการขายผลิตภัณฑ์ คือต้องการจะบอกว่าอมูลคือเรื่องราวเดียวกับอินเดีย ในเพลงเราจะได้ยินคำว่า Taste of India ซึ่งเป็นสโลแกนของอมูลด้วย

Taste of India (นาที 2.45)

ไปอินเดียทีไรผมจะมองหา ผลิตภัณฑ์ของอมูล (Amul) เพื่อซื้อติดมือกลับบ้าน ถ้าอากาศร้อนก็จะมองหาไอศกรีมของอมูลเพื่อดับร้อน คงไม่ใช่แค่ตัวผมเท่านั้น อีกหลายคนไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติที่สันทัดเรื่องอินเดีย หรือชาวอินเดียจำนวนมากต่างก็นิยมบริโภคผลิตภัณฑ์ของอมูลกันอย่างกว้างขวาง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม “Taste of India” หรือ “รสชาติของอินเดีย” จึงเป็นสโลแกนของอมูล

อมูล (Amul) คือสหกรณ์ข้ามชาติของอินเดีย

ที่มาจากชื่อสหพันธ์การตลาดนมคุชราต (Gujrat) ตั้งอยู่ในเมืองอานันท์ รัฐคุชราต สมาคมสหกรณ์แห่งนี้อยู่ภายใต้กรรมสิทธิ์ของ “Gujarat Cooperative Milk Marketing Federation Limited” สังกัดกรมสหกรณ์ รัฐบาลมลรัฐคุชราต

มีจำนวนสมาชิกผู้ผลิต 717,850 กำลังการผลิตนมรวม 8.1 ล้านลิตรต่อวัน จำนวนหมู่บ้านที่เข้าร่วมคือ 1269

หลายคนอาจเริ่มสงสัยแล้วว่า ส่วนใหญ่เราจะได้ยินแต่คำว่าบรรษัทข้ามชาติหรือบริษัทข้ามชาติ แต่อมูลเป็นสหกรณ์ข้ามชาติ ไม่ใช่บรรษัทข้ามชาติ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

เหตุที่อมูลเป็นสหกรณ์ข้ามชาติก็เพราะประวัติศาสตร์การก่อตั้งของอมูล

ซึ่งเราไปทำความเข้าใจประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งอมูลเสียก่อน ใคร่แจ้งให้ท่านผู้ฟังทราบด้วยว่า ข้อมูลส่วนใหญ่ของรายการเราในวันนี้มาจากเว็บไซต์ของอมูล คือ https://www.amuldairy.com/index.php

ประวัติศาสตร์การก่อตั้งของอมูล

อมูลก่อตั้งวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1946 ประมาณ 1 ปี ก่อนอินเดียจะได้รับเอกราชจากอังกฤษ

การก่อตั้งอมูลเกิดขึ้นเพราะต้องการตอบโต้การหาประโยชน์จากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรายย่อย ผู้แสวงหาประโยชน์คือบริษัทและพ่อค้าคนกลาง ซึ่งในเวลานั้นสภาพก็ประมาณการผูกขาดคือเป็นผู้กำหนดราคานมและเป็นการกำหนดโดยพลการ เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในเขตเกฑา (Kaira) แห่งมลรัฐคุชราต

เพื่อให้ท่านผู้ฟังทราบตั้งแต่แรก โคนมคือศัพท์ภาษาไทยที่เราใช้ แต่เวลาเราพูดถึงนมในรายการจะหมายถึง “นมควาย”

ก่อนการก่อตั้งสหกรณ์อมูลในปี ค.ศ. 1946 เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรู้สึกไม่พึงพอใจกับการกำหนดราคานมโดยพลการ

ทว่าพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะผู้ผูกขาดมีอำนาจในการกำหนดราคา ส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาทำเช่นนั้นได้ก็เพราะเขาควบคุมอุปทานนมไปยังบอมเบย์ (มุมไบ) ด้วย

อีกส่วนหนึ่งก็เพราะนมเป็นสินค้าที่เน่าเสียง่าย เกษตรกรจึงถูกบังคับให้ขายนมตามราคาที่เสนอมา บ่อยครั้งที่พวกเขาต้องขายครีมและเนยใสที่ได้จากนมในราคาถูก

เกษตรกรโคนมรายย่อยเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ แต่ที่พวกเขารู้ดีคือระบบที่ผู้รับเหมาซื้อผลผลิตได้ในราคาต่ำและจัดการขายได้กำไรมหาศาลนั้นไม่ยุติธรรมเลย

เหตุการณ์เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อรัฐบาลบอมเบย์เริ่มโครงการนมในปี ค.ศ. 1945

นั่นคือต้องขนส่งนมจากอานันท์ไปยังบอมเบย์ ซึ่งมีระยะทางประมาณสี่ร้อยกว่ากิโลเมตร และจะสามารถขนส่งได้ก็ต้องเป็นนมที่พาสเจอร์ไรซ์ในอานันท์เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้รัฐบาลบอมเบย์จึงทำข้อตกลงกับบริษัทพอลสันส์ จำกัด (Polsons Limited) เพื่อจัดหานมจากอานันท์ไปยังบอมเบย์อย่างสม่ำเสมอ ข้อตกลงดังกล่าวเป็นที่น่าพอใจอย่างมากต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลได้กำไร พอลสันส์ทำกำไรได้ดี ผู้รับเหมาหรือคนกลางก็ได้ส่วนแบ่งก้อนใหญ่ แต่เกษตรกรโคนมรายย่อยลำบากมาก

ความไม่พอใจของเกษตรกรก็สะสมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พวกเขาส่งตัวแทนไปพบสารทาร วัลลภภาย ปาเตล (Sardar Vallabhbhai Patel) ผู้ซึ่งสนับสนุนสหกรณ์เกษตรกรมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1942

สำหรับหลายคนที่ไม่รู้จัก “ปาเตล” เขาคือหนึ่งในผู้นำที่ร่วมขบวนการต่อสู้เรียกร้องเอกราชอินเดีย และหลังจากอินเดียได้รับเอกราชก็ขึ้นมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนแรก นับได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้อินเดียมีแผนที่ดังที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้

ปาเตลย้ำต่อตัวแทนเกษตรกรโคนมรายย่อยว่า พวกเขาควรสถาปนาสหกรณ์เป็นของตนเอง และทำการตลาดนมผ่านสมาคมสหกรณ์ของพวกเขาเอง สหกรณ์นี้ควรมีโรงงานพาสเจอร์ไรซ์เป็นของตนเอง ปาเตลแนะนำให้สหกรณ์ขอใบอนุญาตจัดตั้งสหกรณ์ หากถูกปฏิเสธ พวกเขาก็ควรปฏิเสธที่จะขายนมให้แก่พ่อค้าคนกลาง

ผู้ฟังเราคงเริ่มเดาออกแล้วบ้างว่า บรรยากาศการเรียกร้องเอกราชอินเดียปกคลุมอินเดียอย่างทั่วหน้า สำหรับชาวอินเดียการครองอินเดียโดยอังกฤษคือความอยุติธรรม บรรยากาศ ณ ขณะนี้กำลังนำไปสู่คุณค่าความคิดของทั้งปาเตลและเกษตรกรโคนมรายย่อย ที่ใคร่เน้นคือ การไม่ให้ความร่วมมือกับผู้เอารัดเอาเปรียบ เช่นเดียวกับการที่ผู้นำขบวนการชาตินิยมเรียกร้องเอกราชได้กระทำภายใต้การนำของมหาตมา คานธี

ข้อเสนอของปาเตล

ปาเตลบอกด้วยว่า หากจำเป็นต้องนัดหยุดงาน ก็ต้องทำ และการนัดหยุดงานดังกล่าวจะสร้างความสูญเสียแก่เกษตรกร เพราะพวกเขาจะไม่สามารถขายนมได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง หากพวกเขาพร้อมที่จะรับมือกับความสูญเสีย ปาเตลก็พร้อมที่จะเป็นผู้นำพวกเขา และแล้วผู้แทนเกษตรกรก็ยอมรับข้อเสนอของปาเตล

จากนั้นปาเตลได้ส่งโมราร์จีภาย เดซาย (Morarjibhai Desai) บุคคลที่ปาเตลไว้เนื้อเชื่อใจไปยังเขตเกฑาเพื่อจัดตั้งสหกรณ์นม และเตรียมการให้เกษตรกรโคนมรายย่อยนัดหยุดงานหากจำเป็น

นายเดซายจัดประชุมที่หมู่บ้านสมรรขา (Samarkha) เมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1946 ที่ประชุมมีมติให้จัดตั้งสมาคมสหกรณ์ผู้ผลิตนมในแต่ละหมู่บ้านในเขตเกฑาเพื่อรวบรวมนมจากเกษตรกรที่เป็นสมาชิก ทั้งหมดจะรวมตัวกันเป็นสหภาพซึ่งจะเป็นเจ้าของโรงงานแปรรูปนม และรัฐบาลต้องซื้อนมจากสหภาพ หากไม่ทำเช่นนี้ เกษตรกรก็จะปฏิเสธที่จะขายนมให้แก่คนกลางในเขตเกฑา

ดังที่คาดได้ รัฐบาลปฏิเสธข้อเรียกร้องในการจัดตั้งสหกรณ์ เกษตรกรโคนมรายย่อยจึงนัดหยุดงาน ใช้เวลา 15 วัน ไม่ขายนมสักหยดให้แก่พ่อค้าคนกลาง ไม่มีนมจากอานันท์ไปถึงบอมเบย์ และโครงการนมบอมเบย์เกือบจะล่มสลายเลยก็ว่าได้

หลังจาก 15 วันผ่านไป ชาวอังกฤษที่ดูแลเรื่องนี้และรองของเขาก็ไปเยี่ยมอานันท์ ประเมินสถานการณ์และยอมรับข้อเรียกร้องของเกษตรกรโคนมรายย่อย

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของอานันท์ บริษัท สหพันธ์ผู้ผลิตนมสหกรณ์เขตเกฑา จำกัด

จดทะเบียนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1946 ดังที่ได้กล่าวไว้ในช่วงต้นของรายการแล้ว บริษัทแห่งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการตลาดที่เหมาะสมสำหรับผู้ผลิตนมของเขต และสหภาพก็เริ่มพาสเจอร์ไรส์นมในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1948 เพื่อโครงการนมบอมเบย์ ขณะนั้นมีเกษตรกรเพียงไม่กี่รายในสมาคมสหกรณ์หมู่บ้านสองแห่งที่ผลิตนมได้ประมาณ 250 ลิตรต่อวัน

ภายในสิ้นปี ค.ศ. 1948 เกษตรกรโคนมรายย่อยจำนวน 432 คนได้เข้าร่วมสหภาพในระดับหมู่บ้าน ปริมาณนมที่สหภาพบริหารจัดการเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ลิตรต่อวัน ในช่วงแรกการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วนำมาซึ่งปัญหาร้ายแรงคือยิ่งเติบโตก็ยิ่งมีคนเข้าร่วม ยิ่งมีคนเข้าร่วมก็มีอุปทานนมมากขึ้น ปัญหาอุปทานมากเกินไปมักจะหนักหนามากในฤดูหนาว เพราะควายในฤดูหนาวให้นมมากกว่าฤดูร้อนถึง 2.5 เท่า และแล้วปัญหาเดิมก็กลับมาอีก เพราะเกษตรกรรายย่อยนำนมส่วนเกินไปขายให้พ่อค้าคนกลางในราคาถูก

หาทางออกให้น้ำนมส่วนเกิน

ทางออกก็มีวิธีเดียวเท่านั้นคือต้องจัดการกับนมส่วนเกินให้ได้ วิธีจัดการกับนมส่วนเกินคือ ตั้งโรงงานเพื่อแปรรูปนมส่วนเกินให้เป็นผลิตภัณฑ์ เช่น เนยและนมผง

ตรรกะของขั้นตอนนี้ได้รับการยอมรับอย่างง่ายดายจากรัฐบาลบอมเบย์และรัฐบาลอินเดีย รัฐบาลอินเดียช่วยให้สหภาพได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากยูนิเซฟ และความช่วยเหลือจากรัฐบาลนิวซีแลนด์ภายใต้แผนโคลัมโบ

ความช่วยเหลือด้านเทคนิคจัดทำโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (หรือ Food and Agriculture Organization of the United Nations – F.A.O.) โรงงานที่ใช้เงิน 5,000,000 รูปีก็ได้รับอนุมัติและรีบจัดการกับนมส่วนเกินโดยนำนมมาผลิตแปรรูปเป็นนมผงและเนย

โรงงานแห่งนี้วางศิลาฤกษ์วันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1954 โดย ดร. ราเชนทระ ประสาท (Dr. Rajendra Prasad) ประธานาธิบดีอินเดียในขณะนั้น โครงการนี้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1955 ผู้เปิดโรงงานคือยวาหระลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) นายกรัฐมนตรีอินเดียในเวลานั้น

ผลิตภัณฑ์นมชนิดใหม่ช่วยเติมเต็มความทะเยอทะยานของสหกรณ์ในกลุ่มผู้ผลิตนม สหภาพแรงงานจึงจัดตั้งสมาคมสหกรณ์หมู่บ้านได้มากขึ้น และจัดการนมได้มากขึ้นทุกปี กิจกรรมนี้ยังนำมาซึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์นม เนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับการแปรรูปนมควายเป็นครั้งแรกในโลก

สหภาพเกฑา (Kaira Union) เปิดตัวแบรนด์ “Amul” เพื่อการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์

คำว่า “อมูล” มาจากคำภาษาสันสกฤต “อมุลยา” (Amulya) แปลว่า “อันหาค่ามิได้” คือมีค่ามากจนประมาณไม่ได้ ในปีต่อ ๆ มาอมูลได้ผลิตชีสและอาหารเด็กในเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่อีกครั้ง โดยแปรรูปนมควาย ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่โลก

ปี ค.ศ. 1964 จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์นมในอินเดีย ลาล บาฮาดูร ศาสตรี (Lal Bahadur Shastri) นายกรัฐมนตรีอินเดียในขณะนั้นได้เยือนอานันท์เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม เพื่อเปิดโรงงานอาหารสัตว์ ศาสตรีใช้เวลาทั้งคืนร่วมกับเกษตรกรในเขตเกฑา และสัมผัสกับประสบการณ์ความสำเร็จของเกษตรกรนมควายรายย่อย

ศาสตรีได้แสดงความยินดีกับนายกูเรียน (Kurien) ผู้จัดการทั่วไปของอมูล และได้แสดงความเห็นด้วยว่า หากทั้งประเทศนำอมูลโมเดลไปใช้ก็จะทำให้สภาพเศรษฐกิจสังคมของประชาชนอินเดียเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ ความคิดเห็นของศาสตรีนำไปสู่การสถาปนา The National Dairy Development Board (NDDB) ณ อานันท์ ในปี ค.ศ. 1965

ปี 1969-70 NDDB ได้ออกโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์นมสำหรับอินเดีย เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ "Operation Flood" หรือ “White Revolution” โครงการ Operation Flood แม้กระทั่งทุกวันนี้ยังคงเป็นโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์นมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปฏิเสธมิได้ว่าอมูลเป็นโมเดล เป็นแบบจำลองที่ทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศผู้ผลิตนมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

รายได้ของอมูลในปีงบประมาณ 2023 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.5 คิดเป็นประมาณ 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งต้องบอกเลยว่า ผลิตภัณฑ์ของอมูลไว้ใจได้จริง ๆ คือนอกจากจะอร่อยแล้ว ยังเป็นบรรทัดฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทอื่นด้วย

เท่าที่นับได้จากเว็บไซต์ของอมูล ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของอมูลมี 27 รายการ ได้แก่
(1) เนย
(2) นม
(3) จำพวกทาให้ทั่วลงบนขนมปังหรือแครกเกอร์ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “bread spread”
(4) ชีสรสชาติต่าง ๆ
(5) ชีสนมเปรี้ยวชนิดหนึ่ง หรือที่เรียกว่า “paneer”
(6) ดะฮี (dahi) หรือนมเปรี้ยว
(7) ซอสชีส (cheese sauce) หรือชีสดิป
(8) เครื่องดื่ม เช่น นมรสต่าง ๆ หรือลาสซี่ (Lassi) เครื่องดื่มเย็นที่ทำจากโยเกิร์ตปั่น เป็นต้น
(9) ผลิตภัณฑ์จำพวกออร์แกนิก ซึ่งมีทั้งข้าว แป้ง ถั่ว และอื่น ๆ
(10) ผลิตภัณฑ์โปรตีน เช่น นมหรือนมเปรี้ยวที่มีโปรตีนสูง
(11) ไอศกรีม ซึ่งรายการนี้บอกได้เลยว่าอ่านไม่ครบ เพราะเยอะมากจริง ๆ
(12) เนยใส หรือฆี (Ghee)
(13) นมผง
(14) ช็อคโกแลต
(15) ครีมสด
(16) นมข้นหวาน
(17) อาหารแช่แข็ง มี 2 รายการ คือ เฟรนซ์ฟรายส์ และพิซซ่า
(18) อาหารจำพวกมอลต์
(19) จำพวกเบเกอรี่ ที่ดัง ๆ ก็พวกคุกกี้
(20) พวกถั่วทาขนมปัง
(21) พัฟเฟิล หรือของทานเล่นเค็มมันทั้งหลาย
(22) ของหวาน เช่น กุหลาบจามุน (Gulab Jamun)
(23) น้ำยาปรับขนมปัง มีไว้เพิ่มความเสถียรในการหมักขนมปังและขยายแป้งในเตาอบ ทำให้ขนมปังมีเนื้อเนียนและเต็มอิ่ม
(24) อมูลปัญจามฤต (Amul Panchamrit) ขนมที่ทำเพื่อถวายแด่พระเจ้าและบริโภคเป็นประสาท (prasada)
(25) ครีมเปรี้ยว
(26) อาหารโค
(27) สูตรอาหาร ซึ่งสามารถอ่านได้ในเว็บไซต์ของอมูล

ท่านผู้ฟังครับ เราทั้งสองไม่ได้รับเงินจากบริษัทอมูลแต่อย่างใดนะครับ เจตนาของเราทั้งสองคือนำเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับอินเดียมานำเสนอให้ท่านผู้ฟังเท่านั้น
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ