วันที่ 6 เมษายน 2567
เพลง Right to Education: Anthem
เพลงที่เลือกมาในวันนี้มิใช่เพลงประกอบภาพยนตร์ แต่เป็นเพลงส่งเสริมสิทธิการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชื่อเพลง “Right to Education: Anthem” ออกอากาศในปี ค.ศ. 2013 เป็นเสียงร้องของโสนู นิคม (Sonu Nigam) และสุนิธิ จอฮาน (Sunidhi Chauhan) ซึ่งต่างก็เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงในระดับแนวหน้าทั้งคู่
เพลงดังกล่าวผลิตภายใต้การควบคุมดูแลของกระทรวงพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Ministry of Human Resource Development) ซึ่งเป็นชื่อในขณะนั้น (ค.ศ. 2013) และได้รับการเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็นกระทรวงศึกษา (Ministry of Education ภาษาฮินดีคือ Shiksha Mantralay) ในปี ค.ศ. 2020 ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ เดิมทีกระทรวงนี้มีชื่อว่ากระทรวงศึกษา แต่ในปี ค.ศ. 1985 นายกรัฐมนตรีราชีพ คานธี (Rajiv Gandhi) ได้เปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และรัฐบาลโมดีเพิ่งจะเปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อเดิมในปี ค.ศ. 2020 ดังที่กล่าวมา
2 เมษายน วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
คุณณัฐได้ประพันธ์อาเศียรพาทเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระพรอย่างที่เคยทำประจำ อยากให้คุณณัฐช่วยนำมาอ่านออกอากาศให้ฟังกันหน่อยครับ
ขอเรียนให้ทราบล่วงหน้าว่า คำประพันธ์ที่ใช้ในบทอาเศียรพาทปีนี้ ผมได้เลือกโคลงโบราณนันททายี ซึ่งมีที่มาจากคัมภีร์กาพย์สารวิลาสินี เดิมทีในภาษาบาลีจัดอยู่ในพวกกาพย์ แต่คนไทยเรามาปรับปรุงรูปเป็นโคลง ต่างจากโคลงสี่สุภาพที่เราคุ้นเคย และบังคับเสียงมากกว่าบังคับรูปไม้เอกไม้โท ที่ต้องแจ้งให้ทราบก่อนก็เพราะว่าหลายท่านอาจยังไม่เคยได้ยินโคลงนันททายี อาจจะรู้สึกแปลกหูหน่อย ต่อไปนี้เป็นบทอาเศียรพาทครับ
๏ ไท้เทียมสรัสวัดิ์แม่ -- เอาองค์ มาเอย
สรรพวิทย์ธำรงเรือง -- รอบรู้
สรรพศิลป์จำนงเพียร -- เรียนร่ำ
สรรพศาสตร์กอบกู้เกื้อ -- สืบสานฯ
๏ ทรงงานเพื่อพสกทั่ว -- ธานินทร์
มีอยู่มีกินตาม -- อัตภาพ
พระเมตตารินรด -- ทุกถิ่น ไทยแฮ
เอิบอาบกำซาบซึ้ง -- นิจเนืองฯ
๏ เรืองเรืองพระเกียรดิพ้น -- สูรยแสง
พระบารมีแสดงดล -- ประจักษ์
พระคุณถ่องแถลงฤๅ -- กล่าวหมด
พสกจึ่งรักไท้ -- เทิดทูนฯ
๏ ทรงเกื้อกูลประโยชน์ผู้ -- อื่นประสงค์
บ่ห่อนเอื้อองค์เอง -- สักน้อย
พระเจตจำนงเพื่อสา -- ธารณะ แท้เนอ
สมพระดำรัสถ้อยไท้ -- ที่ยินฯ
๏ “กิน, เรียน สองสิ่งนี้ -- เพื่อฉัน เองเอย
สิ่งอื่นทุกอันมี -- นอกนั้น
ฉันทำเพื่อบรรดา -- ผู้อื่น หมดแล”
พระดำรัสตรึงหมั้นห้วง -- หัทยาฯ
๏ ทุดิยวารเมษมาส -- มงคล
ส่ำพสกกมลปรี -- ดิยิ่ง
เฉลิมพระชนมา -- ยุอ่อน ไท้เอย
ถวายพระพรมิ่งหล้า -- ปิ่นสยามฯ
๏ พระนามสิรินธรเลิศ -- เลอลบ
จุ่ง ธ ประสบสวัสดิ์ -- ค่ำเช้า
กิตติสัทท์ตรลบเกิน -- ก้ำบุษ- ปคันธ์แฮ
ทวยราษฎรนบเกล้าน้อม -- เกศถวายฯ
๏ ใดระคายเคืองเบื้องพระ -- ยุคลบาท
จุ่งประลัยปลาตมลาญ -- หลีกลี้
พูนเกษมสุขปราศโร -- คาพยาธิ
สมพจน์ข้านี้น้อม -- ถวายพระพรฯ
เป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อการพัฒนาประเทศ และเป็นข้อ 4 จาก 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals-SDG) ของสหประชาชาติ กล่าวคือ “Quality Education” การศึกษามีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและครอบคลุม และส่งเสริมโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกคน
สหประชาชาติได้กำหนดตัวชี้วัดมากมายหลายข้อในเป้าหมายการพัฒนาข้อนี้ อาทิ ขนาดชั้นเรียน จำนวนครูต่อนักเรียน จำนวนหนังสือเรียนต่อนักเรียน และคุณภาพของสื่อการสอนที่ใช้ในห้องเรียน ฯลฯ ซึ่งหลายท่านคงจะเดาได้แล้วว่า จากจำนวนประชากรมหาศาลของอินเดียซึ่งเกินพันสี่ร้อยล้านคนไปแล้วนั้น การที่รัฐจะจัดหาการศึกษาที่ทั่วถึงและเท่าเทียมนั้นคงเป็นงานหนักหนาไม่น้อย
แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ทรัพยากรจะเพียงพอหรือไม่ รัฐบาลอินเดียย่อมตระหนักดีว่ามีหน้าที่พยายามอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อจัดการศึกษาให้ทั่วถึง ทั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญอินเดีย โดยสิทธิข้อดังกล่าวได้รับการเพิ่มเติมลงในรัฐธรรมนูญตั้งแต่การแก้ไขครั้งที่ 68 ปี ค.ศ. 2002 มีข้อความดังนี้ว่า
มาตรา 21A สิทธิในการศึกษา – รัฐพึงจัดให้มีการศึกษาภาคบังคับที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับเยาวชนทุกคนตั้งแต่อายุ 6 ปีจนถึง 14 ปี โดยรัฐจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบการศึกษาตามกฎหมาย
ข้อความในมาตราดังกล่าวประกอบด้วยคำว่า “การศึกษาภาคบังคับที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย” หมายความว่า เว้นแต่กรณีเด็กที่พ่อแม่ส่งเข้าเรียนในโรงเรียนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ไม่มีเด็กคนใดที่จะต้องรับผิดชอบในการชำระค่าธรรมเนียมหรือค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ เกี่ยวกับการศึกษาจนกระทั่งสำเร็จชั้นประถมศึกษา
แน่นอนว่าพ่อแม่ผู้ปกครองบางรายอาจมีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะให้เด็กได้รับการศึกษาในโรงเรียนเอกชนที่ตนเองต้องการ แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น ก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะจัดการศึกษาให้โดยร่วมรับผิดชอบกับรัฐบาลระดับท้องถิ่นของมลรัฐ และต้องมีจำนวนโรงเรียนที่มากพอเพื่อให้นักเรียนได้เข้าเรียนในโรงเรียนใกล้บ้านตนเองด้วย
รัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวนำมาซึ่งการตรารัฐบัญญัติว่าด้วยสิทธิของเด็กในการได้รับการศึกษาภาคบังคับที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย ปี ค.ศ. 2009 (The Right of Children to Free and Compulsory Education (RTE) Act, 2009) มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2010 รัฐบัญญัติฉบับดังกล่าวมีเนื้อหาโดยย่อว่าด้วยประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้คือ
1. สิทธิของเด็กที่จะได้รับการศึกษาภาคบังคับในโรงเรียนใกล้บ้านโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย จนกระทั่งจบชั้นประถม
2. กำหนดชัดแจ้งว่า “การศึกษาภาคบังคับ” (Compulsory Education) ย่อมเป็นภาระหน้าที่ของทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐ ที่จะจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานคือชั้นประถมให้โดยที่นักเรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ ที่อาจเป็นสิ่งกีดขวางมิให้จบการศึกษา
3. กำหนดให้เด็กที่ยังไม่เคยได้เข้าเรียนก่อนหน้ารัฐบัญญัติฉบับนี้ประกาศใช้ ต้องถูกรับเข้าศึกษาในชั้นเรียนที่เหมาะกับอายุของตน
4. วางกรอบหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐ และหน่วยปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนพ่อแม่ผู้ปกครอง ทั้งในด้านการแบ่งสัดส่วนความรับผิดชอบทางการเงิน และความรับผิดชอบอื่นใดที่เกี่ยวข้อง
5. กำหนดปทัสถานและมาตรฐานว่าด้วยอัตราส่วนครูต่อนักเรียน ขนาดอาคารและห้องเรียน วันเปิดทำการของโรงเรียน และชั่วโมงการทำงานของครู
6. ควบคุมอัตราการจ้างงานครูอย่างเหมาะสม เพื่อรักษาอัตราส่วนครูต่อนักเรียนตามที่กำหนดให้เป็นไปอย่างทั่วถึงทุกโรงเรียน มิใช่เพียงอัตราส่วนเฉลี่ยในระดับชุมชนหรือจังหวัด ซึ่งข้อนี้จะทำให้แน่ใจได้ว่า อัตราส่วนครูต่อนักเรียนระหว่างชนบทกับในเมืองนั้นปราศจากความเหลื่อมล้ำ นอกจากนี้ยังห้ามมอบหมายงานให้ครูไปทำอะไรโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ยกเว้นแต่งานสำรวจสำมะโนประชากร งานจัดการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น งานในสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา และงานบรรเทาสาธารณภัย
7. กำหนดให้มีการแต่งตั้งครูโดยพิจารณาจากคุณวุฒิที่เหมาะสม ผ่านการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แน่ใจว่าครูจะมีคุณสมบัติเพียงพอ
8. ห้ามมิให้ครูลงโทษนักเรียนทั้งทางร่างกายและจิตใจ ห้ามรับเด็กเข้าเรียนโดยผ่านขั้นตอนการคัดกรองที่ไม่เป็นธรรม ห้ามเรียกรับค่าธรรมเนียม และห้ามครูรับติวนักเรียนเป็นการส่วนตัว
9. จัดให้มีการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับค่านิยมที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และให้แน่ใจได้ว่าสามารถทำให้เด็กมีพัฒนาการอย่างรอบด้าน ตามความรู้ ทักษะ และพรสวรรค์ โดยปราศจากความกลัว ความบอบช้ำทางจิตใจ และความวิตกกังวล ผ่านระบบการเรียนรู้ที่เป็นมิตรต่อเด็กและให้เด็กเป็นศูนย์กลาง

อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคน อัตราการรู้หนังสือของอินเดียอยู่ที่ประมาณร้อยละ 77 ซึ่งจัดว่ายังต่ำอยู่ (ของไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 94) เท่ากับว่าในคนอินเดีย 4 คนจะมีคนที่อ่านหนังสือไม่ออกอยู่ 1 คน
แม้ว่าอัตราการพัฒนาจะดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับตอนที่ได้เอกราชใหม่ ๆ อินเดียมีอัตราการรู้หนังสือเพียงร้อยละ 18 เท่านั้น แต่ขนาดประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การขาดแคลนครู หนังสือ และสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน และเงินทุนสาธารณะไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ถือเป็นความท้าทายที่ยากที่สุดของประเทศ
ย้อนกลับมาพิจารณารัฐธรรมนูญจะเห็นว่าอายุที่กำหนดไว้คือ 6-14 ปี หมายความว่าเป็นระยะเวลา 8 ปี โดยทางอินเดียจะแบ่งเป็นประถมต้น 5 ปี ประถมปลาย 3 ปี รวมเป็นประถม 8 ปี
หากประสงค์ต่อมัธยมซึ่งพ้นไปจากภาคบังคับแล้ว อินเดียจะมีมัธยมต้น 2 ปีและมัธยมปลาย 2 ปี รวมเป็นมัธยม 4 ปี ต่างจากระบบของไทยซึ่งปัจจุบันการศึกษาภาคบังคับเป็นระยะเวลา 9 ปี คือประถม 6 ปีและมัธยมต้น 3 ปี จบภาคบังคับแล้วยังต่อมัธยมปลายได้อีก 3 ปี รวมเป็น 12 ปีเท่ากันทั้งอินเดียและไทย
โรงเรียนของรัฐโดยทั่วไปจะจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาแม่ในถิ่นนั้น ๆ และเริ่มการสอนภาษาอังกฤษในชั้นประถม 3 โดยส่วนใหญ่มีการเรียนการสอนภาษาฮินดี เพราะเป็นภาษาประจำชาติที่ใช้สื่อสารได้กับคนส่วนใหญ่ทั่วประเทศ
คนอินเดียทั่วไปที่จบการศึกษาภาคบังคับจะมีความรู้ใน 3 ภาษา
1. ภาษาแม่ ได้แก่ ภาษาที่ถิ่นตนเองพูด เช่น ทมิฬ ปัญจาบี เบงกาลี คุชราตี ฯลฯ
2. ภาษาสากล คือภาษาอังกฤษ
3. ภาษาประจำชาติ คือภาษาฮินดี เว้นแต่ในกรณีที่เป็นภาษาเดียวกับภาษาแม่
ประมาณการว่ามีนักเรียนอินเดียราวร้อยละ 30 ได้รับการศึกษาในโรงเรียนที่เอกชนเป็นผู้ดูแล ซึ่งโรงเรียนเอกชนจะมีอยู่ 2 แบบคือ
1.แบบที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนบางส่วนจากรัฐบาล
2.แบบที่บริหารจัดการโดยเอกชนอย่างเต็มร้อย
แต่ไม่ว่าจะได้รับทุนจากรัฐหรือไม่ ก็ต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานหลายข้อจึงจะได้รับการยอมรับจากรัฐให้เป็นโรงเรียนที่ถูกต้อง อัตราจำนวนโรงเรียนรัฐต่อเอกชนในระดับประถมคือ 73:27 ซึ่งหากเทียบระหว่างชนบทกับในเมืองแล้ว ชนบทจะมีโรงเรียนรัฐมากกว่าในอัตรา 80:20 ส่วนในเมืองมีโรงเรียนเอกชนมากกว่าคือ 36:64
ข้อนี้จะเห็นได้ว่าความนิยมของคนอินเดียก็ไม่ต่างกับคนไทย คนที่มีฐานะหน่อยก็มักจะนิยมส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชน
ซึ่งบางโรงเรียนก็มีทุนมหาศาลและค่าเทอมก็สูงตาม แต่ขณะเดียวกัน ก็มีโรงเรียนอีกประเภทหนึ่งที่แม้จะบริหารจัดการโดยเอกชนก็จริง แต่เกิดจากการจัดตั้งขึ้นเองในชุมชนเนื่องจากความขาดแคลนทุนสนับสนุนจากรัฐ โรงเรียนประเภทนี้ก็เช่นที่อยู่ในหมู่บ้านห่างไกล อยู่ในชุมชนแออัด ที่การศึกษาจากรัฐยังเข้าไม่ถึง แน่นอนว่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก็จะด้อยกว่าโรงเรียนของรัฐ แม้ว่าจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เหมือนกัน
ความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดการศึกษาภาคบังคับให้เด็กในชนบทอันห่างไกลหรือในชุมชนแออัด ทำให้ในอินเดียมีองค์กรที่มิใช่ของรัฐ หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า NGO จำนวนมากที่มีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา โดยอาศัยเงินทุนจากการบริจาค ส่วนมากจะอยู่ในรูปแบบมูลนิธิหรือองค์กรไม่แสวงหากำไร
ชื่อของ NGO เหล่านี้ที่ได้ยินกันบ่อย ๆ ก็มีเช่น Pratham Education Foundation, Teach For India, Smile Foundation, Art of Living, Asha Foundation บางองค์กรก็เน้นเพื่อการศึกษาของเด็กผู้หญิงโดยเฉพาะ เช่น Pardada Pardadi Educational Society, Aarti For Girls, Educate Girls, Nanhi Kali For the Girl Child เป็นต้น
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ