เมื่อความยุติธรรมถูกเพิกเฉย : คดีประชาทัณฑ์อักกู ยาดัฟ
1,310 views
0
0

เพลง Jai Kaali Jai Kaali Maa
เพลงที่เลือกมาในวันนี้มีนัยสำคัญเกี่ยวกับหัวข้ออย่างลึกซึ้ง แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงประเด็นนี้ ขออธิบายก่อนว่าเพลงดังกล่าวชื่อว่า “Jai Kaali Jai Kaali Maa” หมายถึง ขอให้พระแม่กาลีจงประสบชัยชนะ เป็นคำถวายพระพรพระแม่กาลีที่ผู้ภักดีต่อพระองค์มักกล่าวเป็นประจำ

เรื่องราวของพระแม่กาลี หลายท่านคงจะทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นเทพีของศาสนาฮินดูที่มีรูปลักษณ์น่าสะพรึงกลัว ปรากฏเป็นหญิงผิวดำ แลบลิ้นสีแดงสด มีมือและเท้าจำนวนมาก สวมสร้อยสังวาลที่ทำจากหัวกะโหลกและมีมือมนุษย์ที่ถูกตัดห้อยไว้รอบสะเอว พระแม่กาลีคือปางหนึ่งของพระแม่ปารวตีซึ่งเป็นชายาของพระศิวะ เป็นปางที่แสดงถึงศักติหรืออำนาจของสตรีเพศ และในบางนิกายเคารพบูชาพระองค์เป็นเทพีสูงสุดแห่งสกลจักรวาล

เพลงดังกล่าวเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Karishma Kaali Kaa ปี ค.ศ. 1990 นำแสดงโดย อมฤตา สิงห์ (Amrita Singh) และ ศัตรุฆัน สิงหะ (Shatrughan Sinha) เป็นเรื่องราวของหญิงผู้บูชาพระแม่กาลีและแก้แค้นคนที่ข่มขืนเธอ ซึ่งคล้ายกับเรื่องราวของเราในวันนี้ และนั่นก็เป็นเหตุที่เราเลือกเพลงนี้มาเปิด เพราะเรื่องราวของเราจะเล่าถึงพลังความแค้นของเหล่าสตรีที่ต้องการทวงคืนความยุติธรรมที่ถูกเพิกเฉย
• • •
แต่ก่อนที่เราจะเริ่มเนื้อหาหลัก ขอใช้โอกาสนี้กล่าวอวยพรสุขสันต์วันสงกรานต์แก่ทุกท่าน เพราะวันที่เราออกอากาศนี้ตรงกับวันที่ 13 เมษายน ซึ่งเป็นวันมหาสงกรานต์พอดี หลายประเทศในภูมิภาคของเรารวมทั้งหลายพื้นที่ในอินเดียก็เฉลิมฉลองเทศกาลเดียวกันนี้ หลายท่านก็คงไปเล่นน้ำสงกรานต์คลายร้อน หรือบางท่านอาจออกไปเที่ยวทางไกลเพื่อหนีการเล่นสาดน้ำก็เป็นได้ ไม่ว่าท่านจะเลือกใช้เวลาช่วงสงกรานต์อย่างไร เราทั้งสองหวังว่าท่านจะมีความสุขสนุกสนาน ถึงกระนั้นก็ไม่ควรหลงลืมว่าความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง และความสนุกต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบต่อสังคมเสมอ

อักกู ยาดัฟ (นาที 5.35)

สำหรับเรื่องที่เราจะนำเสนอในวันนี้อาจสวนกระแสเทศกาสรื่นเริงไปนิดเพราะเป็นคดีความที่ค่อนข้างสะเทือนขวัญ และเนื้อหาอาจจะมีความรุนแรงพอสมควร แต่แง่มุมที่น่าสนใจของคดีนี้ก็อย่างที่เราได้เกริ่นนำไว้ในชื่อหัวข้อคือ “เมื่อความยุติธรรมถูกเพิกเฉย” ข้อความนี้มีนัยสำคัญอย่างไร

กล่าวโดยรวบรัดคือ มันแสดงออกให้เห็นว่า หากประชาชนไม่อาจหวังพึ่งพากระบวนการยุติธรรมของรัฐได้ ความอัดอั้นตันใจของพวกเขาก็อาจนำมาสู่การพิพากษาตัดสินด้วยตนเองก็ได้ และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวและน่าสยดสยองได้อย่างที่สุด

คดีสะเทือนขวัญดังกล่าวเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2004 กับทรชนผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม อักกู ยาดัฟ (Akku Yadav) ผู้มีนามโดยกำเนิดว่า ภรัต กาลิจรัน (Bharat Kalicharan) ชายคนนี้เป็นอาชญากรตัวฉกาจที่เย้ยกฎหมายบ้านเมืองด้วยการก่อคดีสะเทือนขวัญมาตลอด เขาเป็นทั้งอันธพาล นักจี้ปล้น ลักพาตัว ข่มขืนต่อเนื่อง และแม้กระทั่งฆาตกรด้วย และในที่สุดเขาก็ต้องพบจุดจบจากความเคียดแค้นของบรรดาเหยื่อของเขาเอง

ปี ค.ศ. 1971 หรือ 1972 ไม่แน่ชัด อักกู ยาดัฟ หรือ ภรัต กาลิจรัน ถือกำเนิดและเติบโตขึ้นในสลัมกัสตูร์บานคร (Kasturba Nagar) ซึ่งอยู่นอกเมืองนาคปูร์ (Nagpur) ในมลรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra) แน่นอนว่าไม่ว่าจะเกิดในสังคมแบบใด มนุษย์เราล้วนแต่มีทางเลือก ถ้าจิตใจใฝ่ดี แม้แต่คนที่เกิดและเติบโตในสลัมก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ และมีตัวอย่างจริงให้พบเห็นมากมาย แต่นายอักกู ยาดัฟผู้นี้กลับเป็นคนใฝ่ในทางชั่วอย่างสุดขีด เขาก้าวเท้าสู่วงการอาชญากรรมตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 20 ภาษาชาวบ้านแบบไทย ๆ ก็เรียกว่ายังไม่ครบบวช

คดีอาชญากรรมของอักกู ยาดัฟ และจุดเริ่มต้นความล้มเหลวในกระบวนการยุติธรรม

คดีที่ยาดัฟก่อขึ้นเป็นครั้งแรกในวัย 19 ปีคือคดีรุมโทรมหญิง ในวัยดังกล่าวนี้เองยาดัฟมีสถานะเป็นหัวหน้าแก๊งอาชญากรในสลัมกัสตูร์บานครแล้ว

เขากับชาวแก๊งแพร่ความหวาดกลัวไปทั่วบริเวณกัสตูร์บานครด้วยการสร้างเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมาย ข่มขู่คุกคามผู้คนด้วยอิทธิพลมืด บุกรุกบ้าน จี้ปล้น ฉกชิงวิ่งราว ข่มขืน ลักพาตัว ทำร้ายคนที่พยายามจะขัดขวางหรือยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของเขา ซึ่งก่อคดีอาชญากรรมแทบทุกชนิดทั้งเล็กและใหญ่ เรียกว่าเป็นมาเฟียเต็มขั้นเลยทีเดียว

หลายท่านที่ฟังอยู่อาจสงสัยขึ้นมาว่าแล้วตำรวจไปไหน ทำไมถึงปล่อยให้นายยาดัฟและเหล่าสมุนแสดงอำนาจบาตรใหญ่ กระทำการเย้ยอำนาจกฎหมายได้เบอร์นี้

ขอตอบง่าย ๆ ว่า ตำรวจก็ยังคงอยู่ที่เดิมนั่นแหละ แต่ว่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กันหมด เพราะว่ายาดัฟใช้วิธีเข้าหาประจบประแจงตำรวจ ติดสินบนด้วยเงินบ้าง ซื้ออาหารกับเครื่องดื่มหรือสุราไปให้บ้าง บรรดาตำรวจที่รับประทานของนายยาดัฟเข้าไปจนพุงกาง ต่างก็ลงมติกันเองเป็นเอกฉันท์ว่า ต่อไปนี้แก๊งยาดัฟไปเที่ยวรังแกใคร พวกตนจะไม่ยุ่ง และนี่แหละจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวในกระบวนการยุติธรรม

แก๊งยาดัฟก่อกวนความสงบของประชาชนอยู่เป็นเวลา 13 ปีเต็ม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หรือแม้แต่บางครั้งก็ช่วยอำนวยความสะดวกแก่อาชญากรด้วยซ้ำไป

นั่นทำให้ยาดัฟเหิมเกริมว่าตนเองยิ่งใหญ่จนอยู่เหนือกฎหมาย เขากับสมุนกระทำการฉุดคร่าข่มขืนสตรีในแถบนั้นตามอำเภอใจ ประมาณการกันว่ายาดัฟและสมุนเกี่ยวข้องกับคดีข่มขืนถึงกว่า 40 คดี และเหยื่อที่อายุน้อยที่สุดเพียง 10 ขวบเท่านั้น มีรายงานกล่าวว่า การที่ยาดัฟเที่ยวข่มขืนผู้อื่นนี้ เป็นการประกาศศักดาว่าเขาสามารถข่มขืนใครก็ได้ที่ต่อต้านเขา และเหยื่อที่ยาดัฟเลือกนั้น ส่วนใหญ่เป็นหญิงทลิต ทั้งนี้เพราะคนกลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะถูกเพิกเฉยโดยกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว

เรื่องราวอาชญากรรมของยาดัฟมีมากมายและน่าสะพรึงกลัวเกินกว่าจะเล่าออกอากาศได้ ดังนั้นขอตัดส่วนนี้ออก ขอเล่าถึงกรณีที่นำมาสู่จุดจบของจอมอาชญากรผู้นี้เลยทีเดียว

กรณีที่นำมาสู่จุดจบของจอมอาชญากร

คือกรณีของสตรีชื่ออุษา นารายเณ (Usha Narayane) วีรสตรีทลิตผู้ยืนหยัดต่อสู้กับอภิมหาโจรรายนี้อย่างองอาจ ปกป้องศักดิ์ศรีของสตรีด้วยกันโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง

อุษา นารายเณ วัย 25 ปี ทำงานในคอลเซ็นเตอร์แห่งหนึ่ง เธอจบการศึกษาด้านบริหารธุรกิจโรงแรม ช่วงที่เกิดเหตุนั้น เธอกำลังคาดหวังที่จะย้ายไปทำงานในภาคเหนือของอินเดีย ณ มลรัฐปัญจาบ ซึ่งจะยกระดับความเป็นอยู่ของเธอทั้งด้านการเงินและสังคม

อุษา นารายเณ เข้ามาเกี่ยวข้องกับแก๊งนี้เมื่อแก๊งของยาดัฟบุกรุกบ้านของผู้หญิงคนหนึ่งชื่อรัตนา ดุงคิริ (Ratna Dungiri) ทำลายเฟอร์นิเจอร์ข้าวของและข่มขู่เรียกเงิน หลังจากแก๊งยาดัฟออกไปแล้ว นารายเณซึ่งมาถึงบ้านนั้นในภายหลังได้บอกให้ดุงคิริไปแจ้งความเอาผิดยาดัฟ แต่ดุงคิริไม่กล้าไป เพราะที่ผ่านมาเป็นที่รู้กันว่าตำรวจจะไม่ยอมรับแจ้งความที่เกี่ยวข้องกับนายยาดัฟ หากมีผู้หญิงมาแจ้งความว่าถูกยาดัฟล่วงละเมิดทางเพศ ตำรวจก็จะบอกไปว่า เพราะพวกเธอทำตัวยั่วยวนเอง สมควรแล้วที่จะถูกละเมิด อย่าว่าแต่บางคนที่อายแม้กระทั่งจะไปบอกกล่าวคนอื่นว่าตนเองถูกล่วงละเมิด ในขณะนั้นที่ละแวกกัสตูร์บานครมีเหยื่อคดีล่วงละเมิดทางเพศที่ไม่เคยได้รับความเป็นธรรมอยู่มากกว่า 40 คน ต่างก็ได้แต่สะกดเก็บความขมขื่นปวดร้าวไว้ในใจ

อุษา นารายเณไม่อาจทนความอยุติธรรมถึงระดับนั้นได้ ในเมื่อดุงคิริไม่กล้าแจ้งความ เธอก็ต้องทำด้วยตนเอง เธอไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ และแน่นอนเรื่องก็ทราบถึงหูยาดัฟ ผู้ซึ่งพาขบวนการอันธพาลมาปิดล้อมบ้านเธอและพยายามที่จะบุกรุกเข้าไปทำร้ายและจับเธอข่มขืน แต่นารายเณไม่ใช่คนที่ยอมก้มหัวให้ความอยุติธรรมง่าย ๆ เธอปิดล็อกตนเองในบ้าน โทรแจ้งตำรวจ แต่ตำรวจไม่มา เธอจึงปล่อยแก๊สหุงต้มในบ้าน แล้วถือกล่องไม้ขีดไว้ในมือ ร้องบอกพวกโจรว่า ถ้าพวกเขาพังประตูเข้ามา เธอจะจุดไม้ขีดเพื่อให้ทุกคนระเบิดตูมไปพร้อมกันเสียทีเดียว การขู่นี้ได้ผล พวกโจรได้กลิ่นแก๊สหุงต้ม จึงไม่กล้าทำอะไรต่อ รีบกระจายตัวกันออกไป

พอบรรดาสตรีในละแวกบ้านที่เคยเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดของนายอักกู ยาดัฟ ได้ทราบข่าวนี้ พวกเธอก็เกิดความฮึกเหิมขึ้นมาทันทีและตระหนักว่า อันที่จริงแล้วแก๊งของนายยาดัฟก็เป็นเพียงโจรกระจอกที่รังแกคนไม่มีทางสู้เท่านั้น ถ้าพวกเธอรวมตัวกันก็จะเกิดพลังพอที่จะต่อกรกับทรชนรายนี้ได้

ดังนั้นสตรีนับร้อยคนทั้งเหยื่อและญาติมิตรของเหยื่อจึงรวมตัวกันเพื่อจะเข้าไปทลายรังโจรของนายยาดัฟ ถือก้อนหินก้อนอิฐขว้างปา พวกสมุนโจรต่างก็หนีเอาตัวรอด แล้วกลุ่มสตรีเหล่านี้ก็ไปเผาบ้านของยาดัฟในเวลาต่อมา จนกระทั่งยาดัฟต้องเตลิดหนีเข้าไปให้ตำรวจจับกุมตัว เพื่อที่จะอยู่ในความคุ้มครองของตำรวจ

ท่านผู้ฟังครับ เราขอเน้นไว้ในที่นี้เลยว่า การตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรงนั้นไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง แต่นี่แหละคือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อกระบวนการยุติธรรมล้มเหลว

ประชาทัณฑ์อักกู ยาดัฟ

จอมอาชญากรที่มีวัยเพียง 32 ปี กำลังถูกนำตัวขึ้นศาล แต่บรรดาผู้ขุ่นเคืองต่างก็รู้ดีว่า ยาดัฟไม่น่าจะต้องโทษร้ายแรง และอาจจะใช้ที่คุมขังเป็นเพียงที่หลบซ่อนตัวจากการถูกแก้แค้น มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปว่า ตำรวจคงจะคุมตัวยาดัฟไว้พอเป็นพิธี และเมื่ออารมณ์ฝูงชนสงบลงแล้ว ก็จะปล่อยตัวเขากลับไปกบดานต่อไปจนกว่าเรื่องจะเงียบ

ในวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 2004 ที่ยาดัฟถูกนำตัวไปที่ศาลแขวงนาคปูร์ สตรีจากสลัมจำนวนหลายร้อยคนก็บุกมารอที่ศาล ขณะที่ยาดัฟถูกคุมตัวเข้าไปในศาลนั้น เขาสังเกตเห็นหญิงที่เคยถูกเขาล่วงละเมิดมาก่อน เขาไม่นึกสลดกับความชั่วที่ตนเองก่อเลยแม้แต่น้อย เขาพูดใส่หน้าเธอว่า “นังโสเภณีเอ๋ย ฉันจะข่มขืนแกอีกครั้งแน่”

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่คุมตัวยาดัฟอยู่แทนที่จะช่วยห้ามปรามเขา กลับยืนหัวเราะอยู่ข้าง ๆ หญิงผู้นั้นสุดจะควบคุมอารมณ์ไว้ได้แล้ว เธอถอดรองเท้าที่สวมอยู่ตบไปที่ศีรษะยาดัฟ พร้อมกับประกาศในที่นั้นว่า “แกกับฉันอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ไม่แกก็ฉันจะต้องตายไปข้าง”

และแล้วในเวลานั้นเอง บรรดาสตรีที่เคียดแค้นจำนวนหลายร้อยคนก็พรั่งพรูเข้ามาในห้องพิจารณาคดี ทั้งหมดรุมประชาทัณฑ์อักกู ยาดัฟด้วยมีดทำครัว ผงพริก และก้อนหิน มิไยยาดัฟจะร้องขอชีวิต บรรดาเหยื่อผู้โกรธแค้นก็ไม่หยุด จนกระทั่ง 15 นาทีผ่านไปเขาก็นอนจมกองเลือดเสียชีวิตอยู่ในศาลนั้นเอง เป็นอันปิดฉากชีวิตอาชญากรที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายของเขาลงในวัย 32 ปี ซึ่งหลายคนพูดว่า 32 ปีนี่ถือว่าอยู่มานานเกินไปด้วยซ้ำ

เหตุการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้นเป็นอย่างไร

ปรากฏว่าถึงแม้การประชาทัณฑ์นั้นจะเป็นการกระทำที่ค่อนข้างโหดร้าย แต่เสียงตอบรับของสังคมกลับเป็นไปในทางที่ดี

หรือว่าได้ว่าเมื่อนายยาดัฟตายไปนั้นแผ่นดินของกัสตูร์บานครก็สูงขึ้นอีกหลายนิ้ว เริ่มจากการที่ผู้คนหายหวาดกลัว อยู่กันได้เป็นปกติสุข และต่างก็เฉลิมฉลองกับมรณกรรมของยาดัฟ ส่วนอุษา นารายเณนั้นเล่า ตำรวจพยายามจะเอาผิดเธอให้ได้ในฐานวางแผนฆาตกรรมนายยาดัฟ แต่เธอเองก็มีข้อแก้ต่างว่าตอนนั้นเธอไม่ได้ไปศาล แต่อยู่ที่สลัม อยู่ในระหว่างล่ารายชื่อผู้เสียหายอยู่

และในส่วนของสตรีที่ไปรุมประชาทัณฑ์ในศาลวันนั้น ตำรวจได้จับตัวไปจำนวน 5 คน ซึ่งในเวลาต่อมา ผู้หญิงทุกคนที่อาศัยอยู่ในสลัมแห่งนั้นก็ต่างออกมาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเธอทุกคนมีส่วนในการสังหารนายยาดัฟด้วยกันทั้งสิ้น และถ้าตำรวจจะจับกุมก็ขอให้จับกุมทุกคนซึ่งมีมากกว่า 200 คน อย่างไรก็ดี ในบรรดาผู้ที่ตำรวจจับกุมไป 5 คน ก็ไม่อาจหาหลักฐานเอาผิดอย่างอาวุธหรือรอยเลือดในตัวพวกเธอได้

ในปี ค.ศ. 2014 คดีนี้ปิดลงพร้อมกับการที่ผู้ต้องสงสัยทุกคนถูกปล่อยตัวเนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอจะเอาผิดใครได้ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ อดีตผู้พิพากษา เภา วาหเน (Bhau Vahane) ถึงกับแสดงความยินดีต่อผู้หญิงเหล่านั้นและกล่าวว่า “ในสถานการณ์ที่พวกเธอต้องเผชิญ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากจะต้องกำจัดอักกูไปเสีย เพราะพวกเธอเคยไปร้องขอความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ตำรวจก็ไม่สามารถปกป้องพวกเธอได้เลย”
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ