วันที่ 4 พฤษภาคม 2567
เพลง Mera Pehla Vote Desh Ke Liye
เป็นเพลงชวนผู้มีสิทธิครั้งแรกไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไปปีนี้ หนังสือพิมพ์ The Times of India รายงานว่า เพลงนี้จัดทำขึ้นโดยกระทรวงศึกษาธิการอินเดีย เพื่อรณรงค์ให้เยาวชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิกันทั่วหน้า
การเลือกตั้งอินเดียเป็นอะไรที่ยาวพอสมควร การลงคะแนนเสียงเริ่มตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน โดยแบ่งออกเป็น 7 ระยะติดต่อกันตลอดระยะเวลา 6 สัปดาห์ โดยจะประกาศผลในวันที่ 4 มิถุนายน เช่นเดียวกับปี 2019 เมื่ออินเดียจัดการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
การเลือกตั้งในปีนี้จะมีคูหาเลือกตั้งกว่าล้านคูหาที่จัดตั้งขึ้นทั่วประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่คูหาเลือกตั้งเกือบ 15 ล้านคนที่ช่วยบริหารจัดการการลงคะแนนเสียงผ่านเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์
แต่ละขั้นตอนการลงคะแนนเสียงทั้ง 7 ขั้นตอนจะจัดขึ้นโดยแยกจากกัน เป็นวันเดียวในระหว่างที่เขตเลือกตั้งหลายแห่งในหลายมลรัฐลงคะแนนเสียง
เหตุผลสำคัญที่ต้องจัดเลือกตั้งแบบนี้ก็เพราะจะทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้งของอินเดียสามารถจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่รับรองความปลอดภัยและเสรีภาพของเจ้าหน้าที่การเลือกตั้งที่ขนส่งเครื่องลงคะแนน
นอกจากนานแล้ว ค่าใช้จ่ายก็ไม่น้อยเลย การเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อนคือในปี ค.ศ. 2019 ใช้งบประมาณ 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการเลือกตั้งที่แพงที่สุดในโลก สำหรับปีนี้คาดว่าค่าใช้จ่ายต้องมากกว่าครั้งก่อน ทั้งนี้ต้องขอแจ้งให้ทราบว่าตัวเลขนี้เป็นตัวเลขสัมบูรณ์ คือ ที่กล่าวว่าแพงที่สุดในโลกคือยังไม่ได้นำมาหารกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิ
ระบบการปกครองของอินเดียเป็นไปตามระบบรัฐสภาอังกฤษที่ใช้ในอินเดียจนกระทั่งประเทศได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1947 คือประชาธิปไตยอินเดียเป็นระบบรัฐสภาหลายพรรคที่มีสภานิติบัญญัติสองสภา
อย่างเรียบง่ายเลยก็คือ พรรคหรือแนวร่วมของพรรคที่ชนะเสียงข้างมากจะจัดตั้งรัฐบาลและเสนอชื่อผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเพื่อได้เสียงข้างมาก พรรคหรือแนวร่วมจะต้องได้ 272 ที่นั่ง
คู่แข่งหลักในการเลือกตั้งอินเดียคงหนีไม่พ้นระหว่างพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดสองพรรค ได้แก่ พรรคภารตียชนตา (Bharatiya Janata Party --- BJP) และพรรคฝ่ายค้าน คือพรรคอินเดียนเนชั่นแนลคองเกรส (Indian National Congress --- INC)
พรรคที่คาดว่าจะชนะเลือกตั้งครั้งนี้คือพรรคภารตียชนตานำโดยนายนเรนทรา โมดี (Narendra Modi)
หลายสำนักทำนายไว้ว่า ไม่ใช่จะชนะอย่างเดียวน่าจะชนะแบบถล่มทลายด้วย หากโมดีได้เป็นนายกรัฐมนตรีอินเดียสมัยที่สาม ก็หมายความว่า โมดีจะเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย นายยวาหระลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) คือเป็นรัฐบาล 3 สมัยติดต่อกัน
วันนี้จึงน่าจะเป็นโอกาสดีที่เราทั้งสองจะหยิบเรื่องเศรษฐกิจอินเดียมาคุยกัน
“อินเดียที่พัฒนาแล้วภายในปี ค.ศ. 2047” หรือ "Viksit Bharat 2047" เป็นคำมั่นสัญญาของโมดีในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่เขาขึ้นสู่อำนาจครั้งแรก และเขาก็ได้พยายามวางรากฐานสำหรับเศรษฐกิจเฟื่องฟูมาโดยตลอด
โมดีและรัฐบาลของเขาสืบทอดเศรษฐกิจที่จัดได้ว่าค่อนข้างซบเซา คือการเจริญเติบโตชะลอตัวและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่ำ ช่วงเวลานั้นมหาเศรษฐีชาวอินเดียหลายสิบคนล้มละลาย โดยโยนภาระให้ธนาคารของประเทศแบกรับเงินกู้จำนวนมหาศาลที่ยังไม่ได้ชำระ ซึ่งทำให้บั่นทอนการกู้ยืม
สิบปีนับตั้งแต่โมดีครองอำนาจ การเติบโตของอินเดียแซงหน้าประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ ธนาคารของอินเดียแข็งแกร่ง และการเงินของรัฐบาลมีเสถียรภาพ แม้จะมีปัญหาบ้างในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
ในช่วงสิบปีนี้ โดยเฉพาะปี 2023 อินเดียแซงหน้าสหราชอาณาจักรในฐานะประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ระบุด้วยว่า อินเดียกำลังจะแซงหน้าญี่ปุ่นและเยอรมนี และขึ้นสู่อันดับที่ 3 ภายในปี ค.ศ. 2027

การเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด G20 ก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด หากคำนึงด้วยว่าตะวันตกกับจีน หรือตะวันตกกับรัสเซียค่อนข้างแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและเต็มไปด้วยภาวะความตึงเครียด
การส่งจรวดลำแรกไปยังใกล้ขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์ การกำเนิดยูนิคอร์นหลายสิบ และตลาดหุ้นที่ทะยานขึ้นล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของชนชั้นกลางด้วย
การผลักดันของโมดีในเรื่องการบริหารจัดการดิจิทัลหรือการปฏิวัติดิจิทัลได้เริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนที่ยากจนที่สุดในประเทศ
ทุกวันนี้ชาวอินเดียที่ยากจนและอยู่ตามชนบทสามารถซื้อสินค้าประจำวันได้มากมายโดยไม่ต้องใช้เงินสด โดยจ่ายเงินเพียงเล็กน้อยมากเพื่อซื้อขนมปังหนึ่งห่อโดยใช้โทรศัพท์มือถือสแกนคิวอาร์โค้ด (QR Code)
รากฐานของการปฏิวัติดิจิทัลนี้คือระบบการกำกับดูแลสามชั้น คือมีบัตรประจำตัวสากล โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่ช่วยให้การโอนเงินด้วยการคลิกเพียงปุ่มเดียว และเสาหลักข้อมูลที่ให้ผู้คนเข้าถึงเอกสารส่วนบุคคลที่สำคัญ
การเชื่อมโยงบัญชีธนาคารหลายร้อยล้านบัญชีช่วยลดขั้นตอนเดิม ๆ และการทุจริตลงได้อย่างชัดเจน
การศึกษาบ่งชี้ด้วยว่า จนถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021 รัฐบาลโดยวิถีดิจิทัลดังกล่าวสามารถประหยัดเงินได้มากถึงร้อยละ 1.1 ของ GDP ผลที่ตามมาคือ รัฐบาลสามารถจัดสรรเงินอุดหนุนทางสังคม แจกเงินสด และใช้จ่ายในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานโดยขาดดุลไม่สูงมากนัก
นอกจากที่กล่าวมา ยังเห็นกันทั่วหน้าด้วยว่าการก่อสร้างนั้นมีกันแทบจะทุกทิศทุกทาง ใครไปอินเดียก็พูดในทำนองเดียวกันว่า อินเดียปรับโฉมใหม่กันทั่วหน้า
ถนน สนามบิน ท่าเรือ และรถไฟใต้ดินใหม่ๆ น่าจะเป็นองค์ประกอบอันโดดเด่นที่สุดของนโยบายเศรษฐกิจของโมดี
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา รัฐบาลโมดีใช้จ่ายมากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ระหว่างปี ค.ศ. 2014 ถึง 2024 มีการสร้างทางหลวงเกือบ 54,000 กิโลเมตร ประมาณสองเท่าของสิบปีก่อนที่โมดีจะเข้าสู่อำนาจ
การลดหย่อนกฎเกณฑ์ของระบบราชการอินเดียก็โดดเด่นมาก ก่อนโมดีจะเข้าสู่อำนาจ หลายคนที่ประสงค์จะลงทุน จะประกอบการอย่างสร้างสรรค์ถึงกับต้องถอยเลยก็ว่าได้ บัดนี้เริ่มทำอะไรได้มากขึ้นกว่าเดิม
ในช่วง 65 ปี นับตั้งแต่อินเดียได้รับเอกราช อินเดียมีสนามบินทั้งหมด 74 แห่ง ในช่วง 9-10 ปีที่ผ่านมา อินเดียมีสนามบิน ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ และโดรมน้ำเพิ่มเติมอีก 74 แห่ง เพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 148 แห่ง ณ ขณะนี้เท่าที่ทราบคือรัฐบาลโมดีจะเพิ่มให้มากถึง 200 แห่งในสมัยหน้า หากเขาชนะเลือกตั้ง ภาครัฐและเอกชนมีแผนจะร่วมลงทุนประมาณ 100,000 ล้านรูปี ทั้งหมดที่กล่าวมายังไม่รวมรถไฟ และรถไฟใต้ดินใต้น้ำแห่งแรกในเมืองโกลกาตา (Kolkata) ในฝั่งตะวันออกของอินเดีย
โดยรวมแล้วกล่าวได้ว่านโยบายเศรษฐกิจของโมดีค่อนข้างได้ผล น่าประทับใจมาก
โดยเฉพาะเรื่องความไม่เท่าเทียม หนี้ครัวเรือน และการว่างงานในกลุ่มเยาวชน
เรื่องความไม่เท่าเทียมก็ดังที่เราเห็น คนจนแม้จะฐานะดีขึ้นก็ตาม แต่คนรวยเหยียบคันเร่งแห่งความเร็วหลายสิบหลายร้อยเท่า อย่าลืมนะว่า แม้อินเดียจะมีเศรษฐีมากขึ้นก็ตาม แต่อินเดียยังมีรายได้ต่อหัวที่ประมาณ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ
การศึกษาหลายฉบับบอกไปในทางเดียวกันว่า หนี้ครัวเรือนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และการออมเงินลดลงสู่ระดับต่ำสุด
สำหรับอัตราการว่างงานของเยาวชน การสำรวจที่น่าเชื่อถือชี้ให้เห็นว่า ปลายปี ค.ศ. 2023 อัตราการว่างงานของเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 20 ถึง 24 ปีอยู่ที่ร้อยละ 44.9 เทียบกับอัตราการว่างงานโดยรวมที่ ร้อยละ 8.7
หลายคนมองว่าพรรคภารตียชนตาน่าจะได้มากถึง 370 ที่นั่ง แต่มีบางคนบอกด้วยว่า น่าจะทะลุ 400 ที่นั่ง
ส่วนหนึ่งที่ทำให้หลายคนมั่นใจว่าโมดีหรือพรรคภารตียชนตาจะต้องได้คะแนนเสียงมากมายก็เพราะว่านอกจากประเด็นเศรษฐกิจดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีอีก 2 ปัจจัยที่สำคัญมากคือ ปัจจัยทางการเมืองและความมั่นคง
นอกจากโมดีจะเป็นที่ไว้ใจในเรื่องการปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติ และการจัดการด้านความมั่นคงอันเกี่ยวกับจีนและปากีสถานได้แล้ว โมดียังทำให้อินเดียมีชื่อเสียงโด่งดังในโลกมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
และปัจจัยสุดท้ายซึ่งถือว่าสำคัญไม่น้อยเลยคือปัจจัยของผู้นำพรรคอินเดียเนชั่นแนลคองเกรส นายราหุล คานธี ซึ่งกลายเป็นคู่มวยแบบกระดูกคนละเบอร์กับโมดี ยิ่งราหุล คานธี ปราศรัยมากขึ้น ก็กลับกลายเป็นส่งเสริมความนิยมชมชอบในตัวโมดีมากขึ้น
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ