เอ็ม. เอส. สวามีนาถัน บิดาแห่งการปฏิวัติเขียวในอินเดีย
1,104 views
0
0

เพลง A Tribute to M.S. Swaminathan
ออกอากาศโดยช่องยูทูปของ ดร. ประผุล อหิเร (Dr. Praful Ahire) ในวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 2023 น่าเสียดายที่ไม่อาจค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตและผู้ร้องได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือเนื้อหาซึ่งอุทิศแด่ เอ็ม. เอส. สวามีนาถัน นักวิทยาศาสตร์การเกษตรและอดีตสมาชิกราชยสภา ซึ่งถึงแก่กรรมในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 2023 สิริอายุถึง 98 ปี จัดว่าเป็นบุคคลสำคัญที่อายุยืนยาวมากคนหนึ่ง

การปฏิวัติเขียว หรือ Green Revolution (นาที 3.15)

เอ็ม. เอส. สวามีนาถันได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการปฏิวัติเขียว (Green Revolution) ในอินเดียในช่วงทศวรรษ 1960-70

การปฏิวัติเขียวเริ่มต้นในทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นช่วงที่เกษตรกรรมในอินเดียถูกเปลี่ยนให้เป็นระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การใช้เมล็ดพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง (HYV-high yielding variety) เครื่องมือการเกษตรแบบใช้เครื่องจักร สิ่งอำนวยความสะดวกในการชลประทาน ยาฆ่าแมลง และปุ๋ย

ในอินเดียผู้ที่มีบทบาทในการริเริ่มคือสวามีนาถัน นับเป็นการตอบรับต่อการปฏิวัติเขียวในระดับโลกที่ริเริ่มโดยนอร์แมน บอร์ลอก (Norman Borlaug) ชาวอเมริกัน ซึ่งใช้ประโยชน์จากการวิจัยและเทคโนโลยีทางการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในประเทศกำลังพัฒนา เลือกพันธุ์หรือสายพันธุ์ของพืชโดยการปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้มีลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่างๆ เช่น ความต้านทานโรค การตอบสนองต่อปุ๋ย คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และผลผลิตที่สูงขึ้น

เอ็ม. เอส. สวามีนาถัน เป็นหนึ่งในชาวอินเดียที่เป็นที่รู้จักและจดจำในระดับโลก เนื่องจากได้สร้างผลงานที่มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติจำนวนมาก

เอ็ม. เอส. สวามีนาถัน

มีชื่อเต็มว่า มันโกมบุ สัมบาสิวัน สวามีนาถัน (Mankombu Sambasiwan Swaminathan) เกิดวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1925 เป็นบุตรชายคนที่สองของนายศัลยแพทย์ เอ็ม.เค. สัมบาสิวัน (M.K. Sambasiwan) กับนางปารวตี ตังกัมมาล สัมบาสิวัน (Parvati Thangammal Sambasiwan) สถานที่เกิดของสวามีนาถันคือเมืองกุมภโกนัม เขตตันจอร์ หรือ ตัญจาวูร์ (Tanjavoor) ที่ปัจจุบันอยู่ในมลรัฐทมิฬนาฑู แต่ย้อนไปในอดีตสมัยที่สวามีนาถันถือกำเนิดขึ้นนั้น (ค.ศ. 1925) พื้นที่ดังกล่าวถูกปกครองโดยอังกฤษ ใช้ชื่อว่าแคว้นมัทราส (Madras Precidency)

เมื่ออายุได้เพียง 11 ขวบ สวามีนาถันต้องกำพร้าพ่อและได้รับการเลี้ยงดูจากพี่ชาย ความที่เขาได้คลุกคลีกับเกษตรกรรมและเกษตรกรมาตั้งแต่วัยเยาว์ เนื่องจากครอบครัวของเขาปลูกข้าว มะม่วง และมะพร้าว และต่อมาขยายไปสู่พืชพันธุ์อื่น ๆ เช่น กาแฟ เขาจึงได้เล็งเห็นมาตลอดว่า ความผันผวนของราคาผลผลิตทางการเกษตรมีผลกระทบต่อครอบครัวของเขาอย่างไร รวมถึงสภาพอากาศที่วิปริตแปรปรวนและการระบาดของแมลงศัตรูพืชก็อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตและรายได้อย่างมีนัยสำคัญ กล่าวได้ว่าสวามีนาถันเติบโตมากับการได้รับรู้ความยากลำบากของเกษตรกร ซึ่งเป็นอาชีพของผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศของเขา

แรกเริ่มเดิมที ทั้งพ่อและแม่ของเขามีความประสงค์จะให้เขาเรียนทางแพทย์ ดังนั้นหลังจากจบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนแคธอลิกในท้องถิ่นด้วยวัยเพียง 15 ปี เขาจึงเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในสาขาสัตววิทยา (Zoology) แต่จากการที่สวามีนาถันได้รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความอดอยากมาตลอด เช่น ทุพภิกขภัยในแคว้นเบงกอลปี ค.ศ. 1943 ซึ่งเป็นช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง รวมไปถึงสภาวะขาดแคลนข้าวที่แพร่ไปทั่วอนุทวีป ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะอุทิศชีวิตที่เหลือจนกว่าจะแน่ใจว่าพลเมืองอินเดียมีอาหารเพียงพอ

ทางเลือกของเขาคือเกษตรกรรม

หลังจากจบปริญญาตรีสัตววิทยาจากวิทยาลัยมหาราชาในเกรละ ก็เบนเข็มมาด้านการเกษตรอย่างเต็มตัว โดยเข้าศึกษาปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์การเกษตรอีกใบหนึ่ง ณ มหาวิทยาลัยมัทราส (University of Madras) ในวิทยาลัยการเกษตร ซึ่งปัจจุบันมีสถานะเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรแห่งทมิฬนาฑู (Tamil Nadu Agricultural University)

กล่าวได้ว่า การตัดสินใจดังกล่าวของสวามีนาถันเป็นการตัดสินใจที่มองผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลักอย่างแท้จริง

แม้เดิมทีเขาจะมีภูมิหลังทางครอบครัวเป็นแพทย์ คือมีคุณพ่อเป็นศัลยแพทย์ ประกอบกับในยุคนั้นบุคลากรทางการแพทย์และวิศวกรรมศาสตร์เป็นอาชีพที่ได้รับการนับหน้าถือตาจากสังคมมากกว่า สวามีนาถันเองก็มีโอกาสที่จะได้เป็นแพทย์อยู่แล้วหากเขามุ่งไปทางนั้นเต็มที่ แต่ทางเลือกของเขากลับเป็นเกษตรกรรม เพราะเขาเล็งเห็นว่าเพื่อนร่วมชาติของเขายังตกอยู่ในภาวะวิกฤติทางอาหาร แม้ว่าพื้นที่เพาะปลูกในอินเดียจะมีมากมาย ปลูกทั้งข้าวเจ้า ข้าวโพด ข้าวฟ่าง และข้าวสาลี แต่เมล็ดพันธุ์ที่ไม่ได้รับการปรับปรุงนั้นไม่อาจก่อเกิดผลผลิตที่เพียงพอเลี้ยงคนทั้งอินเดีย

ปรัชญาเบื้องหลังที่มีผลต่อแนวคิดของสวามีนาถันคือแนวคิดของมหาตมาคานธี

มหาตมาคานธีเป็นผู้ที่สวามีนาถันนิยมชมชอบมาตั้งแต่วัยเยาว์ เขาได้ศึกษาเรียนรู้หลักการพึ่งพาตนเอง (self-reliance) จากคานธี และต่อต้านการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ

นอกจากนั้นแนวคิดอีกสองประการของคานธีที่สวามีนาถันให้ความสำคัญมาก ได้แก่
1. สรโวทัย (Sarvodaya) หมายถึง การที่สังคมโดยรวมทั้งหมดจะต้องก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กัน
2. อันโตทัย (Antodaya) หมายถึง จะต้องยกระดับคนอื่นที่ยังไม่ได้รับความก้าวหน้า จนกระทั่งไปถึงบุคคลสุดท้ายของสังคม

การที่คานธีมีอิทธิพลต่อสวามีนาถันมากเพราะเขาเป็นบุคคลร่วมสมัย ต้องอย่าลืมว่าสวามีนาถันเติบโตและเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยพร้อมกับบรรยากาศช่วงที่คานธีกำลังเรียกร้องต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียจากจักรวรรดิอังกฤษอย่างเต็มที่

ศึกษาและทำงานวิจัยพืช

ปี ค.ศ. 1947 สวามีนาถันย้ายไปนิวเดลีเพื่อเข้าศึกษาเกี่ยวกับชีวพันธุกรรมและการเพาะพันธุ์พืช ณ สถาบันวิจัยเกษตรอินเดีย (Indian Agricultural Research Institute) เขาได้รับปริญญาโทในปี ค.ศ. 1949 จากการศึกษาวิจัยพืชในเครือโซลานุม (Solanum) ซึ่งประกอบไปด้วยมะเขือ มะเขือเทศ และมันฝรั่ง โดยสวามีนาถันเน้นหนักวิจัยมันฝรั่ง

ต่อมา เนื่องจากสภาพสังคมกดดันให้ต้องหางานทำเป็นเรื่องเป็นราว สวามีนาถันจึงลองไปสอบเข้ารับราชการ ซึ่งเขาสอบติดตำรวจ ทว่าในเวลาเดียวกันก็บังเอิญมีข้อเสนองานนักวิจัยพันธุกรรมพืชเข้ามาจากยูเนสโกพอดี ซึ่งหากรับงานนี้เขาจะต้องไปทำงานถึงเนเธอร์แลนด์ ไม่ต้องสงสัยเลย สวามีนาถันเลือกประการหลัง

สวามีนาถันได้ไปทำงานเป็นนักวิจัยพืชในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแปดเดือนที่สถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในอัมสเตอร์ดัม ประสบการณ์จากการทำงานเกี่ยวกับการปรับปรุงมันฝรั่งให้ทนต่อปรสิตและอากาศหนาว เป็นฐานให้เขาต่อยอดไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งเขาจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1952 จากนั้นก็เดินทางไปศึกษาต่อระดับหลังปริญญาเอกอีก 15 เดือนที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ซึ่งหลักสูตรของเขาจบในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1953 หลังจากนั้นเขาได้รับการเสนอตำแหน่งในคณะเกษตรของมหาวิทยาลัยวิสคอนซินทันที แต่เขาปฏิเสธอย่างหนักแน่น เพราะต้องการเดินทางกลับมาสร้างความแตกต่างให้มาตุภูมิ

กลับสู่มาตุภูมิเพื่อพัฒนาคุณภาพและปริมาณพืชผลการเกษตร

สวามีนาถันที่ได้รับการ “ชุบตัว” จากเมืองนอกเมืองนาแล้ว กลับคืนมาตุภูมิในช่วงต้นปี ค.ศ. 1954 ในเวลานั้นแม้ว่าชาวอินเดียกว่าร้อยละ 75 จะประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม แต่ธัญพืชที่เป็นอาหารหลักของคนในชาติกลับต้องนำเข้าจากต่างประเทศ สวามีนาถันตระหนักถึงภัยคุกคามทางอาหารที่ร้ายแรง จึงทุ่มเทความเชี่ยวชาญอย่างเต็มกำลังเพื่อพัฒนาคุณภาพและปริมาณพืชผลการเกษตร

เขาทดลองการผสมข้าวสาลีข้ามสายพันธุ์โดยใช้สายพันธุ์พื้นถิ่นผสมกับเมล็ดพันธุ์จากเม็กซิโก ได้ผลออกมาคือสายพันธุ์ข้าวสาลีลูกผสมที่ให้ผลผลิตปริมาณมากขึ้น เมื่อประสบผลสำเร็จเกี่ยวกับข้าวสาลีก็เดินหน้าต่อไปพัฒนาสายพันธุ์ข้าวเจ้า มันฝรั่ง และปอกระเจา

ระหว่างทางของการพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์ ก็ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรค อาทิเช่น สายพันธุ์ลูกผสมบางพันธุ์ให้ผลผลิตมากเกินไปเสียจนน้ำหนักรวงทำให้ลำต้นหักงอ ก็ต้องมาหาวิธีปรับปรุงสายพันธุ์ให้ลำต้นแข็งแรงรับน้ำหนักได้มากขึ้นอีก ครั้นพัฒนาสายพันธุ์ออกมาได้ตามที่ต้องการแล้ว สวามีนาถันก็ต้องพยายามจัดตั้งไร่นาแบบอย่างขึ้นมามากกว่า 2,000 แปลง เพื่อที่จะให้ความรู้แก่ชาวนาชาวไร่ที่เคยชินการทำเกษตรสายพันธุ์เดิม และโน้มน้าวให้หันมาใช้สายพันธุ์ปรับปรุงใหม่

การทำงานกับรัฐบาลก็สำคัญ สวามีนาถันได้เข้าหารัฐบาลและเสนอให้รัฐบาลนำเข้าเมล็ดพันธุ์ใหม่ ๆ เข้ามา 18,000 ตันเพื่อทำการวิจัย ขณะนั้นรัฐบาลเองก็เหมือนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เพราะอินเดียประสบภาวะขาดแคลนอาหารและผู้คนอดอยาก พิจารณาเห็นว่าไม่มีทางแก้อะไรจะดีกว่านี้จึงอนุมัติให้นำเข้าเมล็ดพันธุ์ตามที่สวามีนาถันเสนอมา

จากนั้นการปฏิวัติเขียวระยะแรกก็เริ่มดำเนินการโดยได้ทดลองนำมาปฏิบัติในมลรัฐปัญจาบก่อน

ทั้งนี้เพราะปัญจาบมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเพียงพอต่อการทดลองดังกล่าว ซึ่งได้เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1966 ตรงกับสมัยรัฐบาลของนางอินทิรา คานธี ผู้ซึ่งให้การสนับสนุนสวามีนาถันอย่างเต็มที่ ทั้งด้านการเงินและการจัดการ ให้อำนาจเขาควบคุมโครงการของเขาได้อย่างอิสระ เพื่อให้มีประสิทธิภาพที่สุด เกษตรกรปัญจาบได้รับสายพันธุ์ปรับปรุงใหม่ ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยชนิดใหม่

ผลที่ออกมาคือผลผลิตของมลรัฐปัญจาบในช่วงปี ค.ศ. 1970 เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ถึงกระทั่งในขณะนั้นปัญจาบเป็นผู้ผลิตอาหารประมาณร้อยละ 70 ของประเทศ และรายได้เกษตรกรปัญจาบเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70 ต่อปี

บุคคลสำคัญที่ทำงานร่วมกับสวามีนาถันในช่วงการปฏิวัติเขียวคือนอร์แมน บอร์ลอก

บอร์ลอกได้เข้ามาตระเวนทั่วอินเดียและคอยส่งเมล็ดพันธุ์จากต่างถิ่นมาให้สวามีนาถันวิจัย จนกระทั่งผลสำเร็จออกมาอย่างน่าชื่นชม เมื่อตัวของนอร์แมน บอร์ลอกเองได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1970 เขาก็ไม่ลืมที่จะเขียนแสดงความขอบคุณสวามีนาถันว่ามีส่วนสำคัญต่อการปฏิวัติเขียวในเอเชีย

ในท้ายที่สุดก็บอร์ลอกผู้นี้แหละที่ได้รับรางวัลเอ็ม.เอส. สวามีนาถันเป็นคนแรก จากมือของประธานาธิบดีเอ.พี.เจ. อับดุลกะลามในปี ค.ศ. 2005

ผลกระทบทางลบจากปฏิวัติเขียว

เมื่อพูดถึงเรื่องการปฏิวัติเขียว ในวงการวิชาการก็หลีกเลี่ยงมิได้ที่จะต้องถกเถียงอภิปรายเรื่องผลกระทบในทางลบ เช่น เรื่องการใช้ยาฆ่าแมลงหรือปุ๋ยเคมีซึ่งสร้างผลเสียหายต่อน้ำและระบบนิเวศ ความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาและไม่พัฒนา

ในระยะหลังมานี้มีผู้เสนอแนวทางเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน หนึ่งในนั้นคือ วันทนา ศิวะ (Vandana Shiva)

กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงความจำเป็นเร่งด่วนเมื่อแรกเริ่มที่สวามีนาถันได้ริเริ่มการปฏิวัติเขียวในอินเดียขึ้น ดังที่ตัวเขาเองก็เคยเตือนให้ผู้คนระลึกถึงคำปราชญ์โรมันที่ว่า “บุคคลที่ท้องหิวนั้นย่อมไม่ฟังเหตุผลหรือข้อธรรมะใด ๆ เขาต้องการเพียงอาหารเท่านั้น” หรือแม้กระทั่งคำพูดของคานธีที่ว่า “สำหรับบุคคลที่หิวโหย พระเจ้าจะปรากฏต่อเขาได้ก็ในรูปแบบของขนมปังนั่นเอง”

หลังช่วงปฏิวัติเขียว

สวามีนาถันได้ทำงานรับใช้ประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับตำแหน่งต่าง ๆ ที่มีความสำคัญทางด้านการเกษตร

ในปี ค.ศ. 1987 เขาได้รับรางวัลอาหารโลก (World Food Prize) เป็นคนแรก ซึ่งเขาได้นำเงินรางวัลที่ได้นี้มาก่อตั้งมูลนิธิในนามของตนเองขึ้น และภายหลังเขาก็ได้ริเริ่มสถาบันและองค์กรอีกหลายแห่งทั่วเอเชีย

ไม่เพียงแต่ด้านการเกษตรเท่านั้น สวามีนาถันยังเรียกร้องให้พัฒนาสิทธิสตรี เพราะตัวเขาเองก็ตระหนักถึงบทบาทของสตรีในภาคส่วนเกษตรกรรมเช่นกัน

ในปี ค.ศ. 2007 ประธานาธิบดีอับดุลกะลามได้แต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งสมาชิกราชยสภา สวามีนาถันได้ผลักดันให้ออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิของเกษตรกรสตรี

ด้านชีวิตส่วนตัว เอ็ม. เอส. สวามีนาถันสมรสกับ มีนา สวามีนาถัน มีลูกสาวด้วยกันสามคนคือ โสมยา (Soumya) อาชีพกุมารแพทย์ มธุรา (Madhura) อาชีพนักเศรษฐศาสตร์ นิตยา (Nitya) อาชีพนักพัฒนาชนบทและความเท่าเทียมทางเพศ สวามีนาถันถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ที่บ้านตัวเองในเมืองเจนไน มลรัฐทมิฬนาฑู รวมอายุ 98 ปี

หลังจากการถึงแก่กรรม นายกรัฐมนตรีโมดีถึงกับเขียนบทความระลึกถึงเขาด้วยตนเอง โดยชื่นชมยกย่องว่าสวามีนาถันคือ “บิดาแห่งการปฏิวัติเขียวในอินเดีย” และในช่วงต้นปีก็ประกาศออกมาว่า สวามีนาถันจะได้รับรางวัลภารตรัตนะ (Bharat Ratna) ซึ่งเป็นอิสริยาภรณ์พลเรือนขั้นสูงสุดของอินเดีย

ขอเชิญร่วมงานเปิดตัวหนังสือ

หนังสือ “พุทธโคดม: บทวิเคราะห์เชิงรัฐศาสตร์ ว่าด้วยพุทธประวัติในบริบททางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมอินเดียในสมัยพุทธกาล" ฉบับปรับปรุงใหม่ (ชนะเลิศรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประเภทสารคดี พ.ศ. 2557) เขียนโดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล

จัดโดย สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำเทศไทย และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สถาบันเอเชียศึกษา คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา)

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 09:00 – 12:00 น. ณ CU Social Innovation Hub อาคารวิศิษฐ์ ประจวบเหมาะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมร่วมรับประทานอาหารว่างสไตล์อินเดีย

รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ