ภาพยนตร์ทมิฬเรื่อง มหาราชา (Maharaja)
115 views
0
0

เพลง Thaaye Thaaye
เพลงที่ได้รับฟังไปเป็นภาษาทมิฬมีชื่อว่า “Thaaye Thaaye” (ตาเย่ ตาเย่) เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ทมิฬเรื่อง “มหาราชา” (Maharaja) ภาพยนตร์ใหม่ปี 2024 ที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากในเน็ตฟลิกซ์ขณะนี้ กำกับโดย นิติลัน สวามินาถัน (Nithilan Swaminathan) นำแสดงโดยวิชัย เสตุปติ (Vijay Sethupathi) ส่วนเพลง Thaaye Thaaye นั้น ผู้ขับร้องคือ สิท ศรีราม (Sid Sriram) และผู้ประพันธ์เนื้อร้องคือ ไวรามุตุ (Vairamuthu)

คำว่า “Thaaye Thaaye” ในชื่อเพลง ถ้าให้แปลเป็นไทยคงได้ประมาณว่า “แม่จ๋า แม่จ๋า” เป็นคำภาษาทมิฬที่นอกจากจะใช้ร้องเรียกแม่ก็ยังสามารถใช้เมื่อพูดกับเทพเจ้าที่เป็นผู้หญิงด้วย และแท้ที่จริงแล้วคำว่า “แม่” ในชื่อเพลงนี้มีนัยเปรียบถึงลูกสาวเป็นดุจดั่งพระแม่หรือเทวีที่บูชา และเป็นทุกสิ่งในชีวิตพ่อ ซึ่งปมของภาพยนตร์เรื่อง “มหาราชา” ก็มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับความรักของพ่อต่อลูกสาวด้วย แต่จะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องมาฟังกันในรายละเอียดต่อไป

ภาพยนตร์เรื่อง มหาราชา (Maharaja) (นาที 4.15)

หัวข้อในวันนี้ก็เป็นไปตามคำสัญญาของเราเมื่อครั้งที่แล้ว จากที่มีผู้ร้องขอให้เรานำเสนอภาพยนตร์เรื่อง “มหาราชา” ซึ่งตรงนี้ต้องขอบอกไว้ก่อนว่านี่เป็นคนละเรื่องกับ “มหาราช” ที่เราเคยพูดถึงเมื่อไม่นานมานี้อันเป็นภาพยนตร์อิงจากคดีประวัติศาสตร์

ที่ต้องแจ้งตรงนี้ก็เพราะว่าหลายคนสับสนกันระหว่างสองเรื่องนี้ที่ชื่อคล้ายกันมาก บางคนได้ยินเพื่อนบอกว่าให้ไปดูเรื่องมหาราช กลับไปดูมหาราชา หรือกลับกันก็มี

จึงขอทำความเข้าใจกับผู้ฟังก่อนว่า “มหาราช” เป็นภาพยนตร์ภาษาฮินดี ซึ่งตัวละครเป็นมหาราชผู้ครองอำนาจจริง ๆ ขณะที่ “มหาราชา” ที่เราจะพูดถึงวันนี้เป็นภาพยนตร์ทมิฬ และคำว่ามหาราชาเป็นเพียงชื่อตัวละครเอกซึ่งเป็นช่างตัดผม ไม่ใช่มหาราชาจริง ๆ แต่อย่างใด

เช่นเคย อย่างที่เราต้องเตือนทุกท่านในทุกครั้งที่เราจะพูดถึงภาพยนตร์ใหม่ ๆ สักเรื่อง หากท่านประสงค์จะรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้โดยที่ไม่อยากทราบเรื่องราวล่วงหน้า ท่านสามารถหยุดฟังพวกเราไว้ก่อนแล้วค่อยมาฟังย้อนหลังก็ได้ เพราะเนื้อหาของตอนนี้จะเป็นการสปอยล์ภาพยนตร์อย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งจะทำให้ท่านเสียบรรยากาศการชมภาพยนตร์ได้ แต่สำหรับท่านที่เคยชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วงงหรือตามไม่ค่อยทัน เพราะการเล่าเรื่องตัดสลับไทม์ไลน์อดีตกับปัจจุบันไปมา การฟังปกิณกะอินเดียตอนนี้อาจจะช่วยได้บ้าง

เรื่องราวจากภาพยนตร์

เรื่องเปิดฉากขึ้นในร้านตัดผมแห่งหนึ่งชื่อร้าน รามกี (Ramki) พระเอกของเรื่องคือช่างตัดผมชื่อ มหาราชา เดินเข้ามาขออนุญาตหัวหน้าว่าวันรุ่งขึ้นขอลางานไปช่วยภรรยาซื้อของให้ลูก จากนั้นภาพยนตร์ก็แสดงให้เราเห็นมหาราชากำลังซื้อตุ๊กตาและพูดคุยขอความเห็นจากภรรยาที่นั่งพร้อมกับลูกสาววัยทารกอยู่ในบ้านฝั่งตรงข้ามร้านตุ๊กตาไปด้วย กำลังจะซื้อตุ๊กตากลับไปอยู่แล้ว ก็พอดีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น รถบรรทุกใหญ่คันหนึ่งเสียหลักวิ่งเข้ามาพุ่งชนบ้านอย่างแรง ภรรยาของมหาราชาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

เวลาผ่านไปสิบห้าปี ลูกสาวของมหาราชาโตเป็นวัยรุ่นแล้ว มีชื่อว่า โชตี (Jothi) สาเหตุที่เธอรอดจากเหตุการณ์วันนั้นได้ ก็เพราะตอนที่รถบรรทุกพุ่งเข้ามาชนบ้าน ถังขยะเหล็กใบหนึ่งตกลงมาครอบเธอไว้พอดี นั่นทำให้ทั้งสองพ่อลูกเก็บถังขยะนั้นเอาไว้และเรียกว่า “ลักษมี” อันเป็นพระนามของเทพีแห่งโชค และปฏิบัติต่อถังขยะลักษมีด้วยความเคารพบูชา ประพรมด้วยกระแจะจันทน์และเครื่องหอมอยู่ประจำดุจว่าเป็นเทพีลักษมีจริง ๆ มหาราชากับโชตีใช้ชีวิตด้วยกันแค่สองคนพ่อลูกและรักกันมาก มหาราชาพร้อมจะปกป้องเธอด้วยการทุ่มเทกำลังทั้งหมดของเขา และในขณะเดียวกันเขาก็เชื่อฟังเธออย่างมากด้วย

อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเรื่องพิลึกพิลั่นขึ้น มหาราชาเข้ามาแจ้งความที่สถานีตำรวจ เรื่องราวของเขาคือ เขาถูกคนจำนวนสามคนบุกเข้าไปในบ้านและทำร้ายร่างกาย แล้วขโมยเอา “ลักษมี” ไป ตอนแรกตำรวจพากันงุนงง แต่พอทราบว่าลักษมีคือถังขยะเปล่า ๆ ใบหนึ่งซึ่งไม่มีของมีค่าอะไรอยู่ทั้งนั้น บรรดาตำรวจก็เข้าใจว่ามหาราชาเป็นคนวิกลจริต จึงขับไล่ไป แต่มหาราชายืนยันว่าเขาต้องการลักษมีก่อนที่โชตีจะกลับมาจากเข้าค่ายกีฬาสี ตำรวจก็พยายามไล่จนวุ่นวายปั่นป่วนไปทั้งโรงพัก จนกระทั่งนายตำรวจชื่อวรตราชัน (Varatharajan) เข้ามา เขาไล่มหาราชาออกไปโดยใช้ปืนขู่ แต่แล้วมหาราชาก็กลับมาพร้อมด้วยเงินจำนวน 5 แสนรูปีเพื่อติดสินบนตำรวจทำคดีนี้ การสืบสวนจึงเริ่มขึ้น เพราะวรตราชันเชื่อว่าถังขยะนั้นคงซ่อนอะไรที่มีค่ามากกว่านั้น

เรื่องราวตัดย้อนกลับไปในอดีตสิบห้าปีก่อน เป็นฉากของขุนโจรปล้นฆ่าข่มขืนรายหนึ่งนามว่า เสลวัม (Selvam) พร้อมสมุนมือขวาชื่อ สาบารี (Sabari) กำลังข่มขู่หญิงเจ้าของบ้านอยู่ หลังจากทั้งสองกวาดทรัพย์จนเกลี้ยงบ้าน กระทำย่ำยีลูกสาวของเจ้าทรัพย์อย่างทารุณ ก็จุดระเบิดบ้านอย่างเลือดเย็น ทั้งสองคนทำเช่นนี้มาหลายครั้งหลายหนแต่ไม่มีใครรู้ เพราะเปิดร้านขายของบังหน้า เสลวัมมีลูกสาววัยแบเบาะชื่ออัมมู (Ammu) และเมื่อใดที่เสลวัมกลับมาบ้าน เขาก็สลัดคราบโจรใจเหี้ยมออกไป กลายเป็นพ่อผู้อ่อนโยนและรักลูกสาวสุดหัวใจ ภรรยาของเขา โกกิลา (Kokila) ก็ไม่เคยรู้เรื่องราวเบื้องหลังอันโหดเหี้ยมของสามีเลย

ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ขณะที่ตำรวจพยายามออกตามหาถังขยะลักษมีจนทั่ว วรตราชันได้ให้นัลลศิวัม (Nallasivam) ที่เป็นสายตำรวจมาช่วยงานด้วยอีกแรง โดยให้ไปหาร้านที่จะทำถังขยะของปลอมเลียนแบบได้ ส่วนมหาราชาเองก็แวะเวียนมาที่โรงพักทุกวันเพื่อติดตามคดีและยอมรับใช้ตำรวจทั้งโรงพัก

เขาพบชายคนหนึ่งมาแจ้งความคนหาย พอเขาเห็นรูปถ่าย ก็นึกย้อนเหตุการณ์ไปถึงตอนที่เขาถูกทำร้าย ตอนนั้นเมื่อได้สติเขาก็เห็นใบเสร็จอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งตกอยู่ จึงไปถามหาเจ้าของรถ ไปพบกันในบาร์ เป็นนักเลงคนหนึ่ง แต่ทันใดนั้นมีชายคนหนึ่งเข้ามา เขาเป็นอาชญากรชื่อ ธนา (Thana) ทั้งสองคนมีเรื่องกันและธนาทำร้ายนักเลงคนนั้นจนคอเคล็ด มหาราชาที่ยืนสังเกตอยู่ได้ทราบว่าชายคนนี้ทำงานในอู่ซ่อมรถดังกล่าว จึงสะกดรอยตามไป และในที่สุดทั้งสองปะทะกัน ธนาถูกบีบจนกระทั่งบอกมหาราชาว่าอีกหนึ่งในสามอยู่ที่สถานีตำรวจ จากนั้นเขาก็ฉวยโอกาสเอาเหล็กแหลมทำร้ายมหาราชา มหาราชาจึงสังหารเขา เป็นอันว่า นี่คือสาเหตุที่มหาราชาพยายามแฝงตัวเขามาเพื่อสืบหาในสถานีตำรวจ โดยแต่งเรื่องถังขยะบังหน้า

ย้อนไปสิบห้าปีก่อน กล่าวถึงเสลวัม เวลานั้นกำลังใกล้วันเกิดของอัมมู เสลวัมผู้พ่อกำลังจะจัดงานเลี้ยงให้ลูกสาว เขาพาภรรยาไปเลือกหาของประดับที่ราคาสูง ซึ่งภรรยาก็ทักท้วงว่าไม่จำเป็นต้องซื้อของแพงขนาดนั้น แต่เสลวัมก็ยืนยันหนักแน่นว่า เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้อัมมูมีชีวิตที่ดี ในที่สุดเขาเลือกได้สร้อยเส้นหนึ่ง ออกแบบเป็นรูปรอยเท้าทารกสองข้าง ล้อมรอบด้วยพลอยแดง ซึ่งเขาได้วางมัดจำไว้เพื่อจะไปรับในวันเกิดลูกสาว

ก่อนหน้าที่จะออกไปรับของ ภรรยาเขาได้กำชับว่าให้ไปเล็มเคราออกจะได้หล่อ ๆ ในงานวันเกิดลูก เสลวัมแม้จะไม่ค่อยเต็มใจแต่ก็ยอมเพราะรักลูก เขารับสร้อยมาเสร็จก็เข้าไปในร้านรามกีซึ่งมหาราชาทำงานอยู่ในตอนนั้น ซึ่งมหาราชาก็ซักถามและทราบว่าเขากำลังจะจัดงานวันเกิดลูกสาว ระหว่างที่มหาราชากำลังจะเล็มเครา พอดีถ่านปัตตาเลี่ยนเกิดหมด เสลวัมบอกให้เขาออกไปซื้อมาเสีย ก็พอดีตอนนั้นสาบารีโทรเข้ามาอย่างระล่ำระลักแจ้งว่าคดีของพวกเขาถูกเปิดเผยหมดแล้วในหนังสือพิมพ์

เสลวัมพูดโทรศัพท์โดยหันหลังให้ประตู เขาไม่ทราบว่ามหาราชาไปซื้อถ่านกลับมาแล้วและยืนอยู่ข้างหลัง ครั้นเขาหันมาเห็น เขาก็เกิดระแวงทันทีว่าอีกฝ่ายคงจะได้ทราบเรื่องหมดแล้ว แต่เขาก็รีบจัดการเล็มเคราและออกจากร้านไป โดยที่ลืมสร้อยที่ตั้งใจจะเอาไปเป็นของขวัญลูกสาวไว้ที่ร้านของมหาราชา

มหาราชาพบสร้อยที่เสลวัมลืมไว้ เขาจึงไปหาบ้านที่กำลังจัดงานวันเกิด ขณะนั้นเสลวัมพบว่าตนทำสร้อยหาย จึงออกไปหมายจะย้อนไปที่ร้านตัดผม ก็พอดีว่าตำรวจยกเข้ามา สาบารีลูกสมุนพยายามต่อสู้และถูกวิสามัญฆาตกรรมหน้าบ้านของเสลวัมนั่นเอง ส่วนเสลวัมถูกตำรวจรวบตัวไป และถูกภรรยาประกาศตัดสัมพันธ์และไม่ยอมให้แตะต้องตัวลูกสาวที่เขารักที่สุดในโลก ระหว่างถูกคุมตัวเขาเหลือบไปเห็นมหาราชาที่มาอยู่ที่นั่นพอดี เขาจึงคิดอาฆาตมหาราชามาตั้งแต่บัดนั้น

ตัดกลับมาปัจจุบัน พอถังขยะปลอมทำเสร็จ วรตราชันก็พยายามไล่โทรหาพวกสายตำรวจที่เคยเป็นอาชญากร เพื่อมาช่วยรับผิดและปิดคดีนี้ แต่พอทุกคนทราบว่าเป็นแค่ถังขยะใบเดียวก็ไม่ยอมมาเพราะกลัวเสียศักดิ์ศรี ที่สุดนัลลศิวัมจึงขอรับหน้าแทนโดยขอค่าจ้าง 50,000 รูปี วรตราชันได้โทรไปหามหาราชาให้เขาบรรยายเรื่องทั้งหมดอีกครั้งในโทรศัพท์ เพื่อเป็นการนัดแนะให้นัลลศิวัมสารภาพตามนั้น แต่นัลลศิวัมกลับตกตะลึงเพราะมันคล้ายเรื่องราวอาชญากรที่เขาก่อขึ้นเองจริง ๆ

ปมของเรื่องเริ่มคลี่คลาย

แท้ที่จริงคนที่ถูกทำร้ายไม่ใช่มหาราชา แต่คือโชตีลูกสาวเขา เธอกลับบ้านจากค่ายกีฬาในขณะที่พ่อเธอยังมาไม่ถึงบ้าน เพราะเที่ยวไปตามหารองเท้าที่เธออยากได้ เสลวัมที่ออกจากคุกมาหลังจากสิบห้าปีได้พาพรรคพวกสองคนคือธนากับนัลลศิวัมบุกเข้าไปในบ้านมหาราชาเพื่อฆ่าเขา ทว่าพอเจอแต่ลูกสาว พวกเขาก็ทำร้ายเธอแทน และนัลลศิวัมก็ลงมือข่มขืนเธอด้วย มหาราชากลับมาพบลูกสาวตนเองนอนหายใจรวยริน เขารีบพาส่งโรงพยาบาล ในเวลานั้นครูหญิงคนโปรดของโชตีก็มาเฝ้าไข้ด้วย เมื่อรอดพ้นอันตราย โชตียืนกรานว่า เธอต้องการพบกับคนที่ก่อเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

ในวันที่ตำรวจพานัลลศิวัมไปทำแผนประกอบการรับสารภาพ ตำรวจก็เผยให้ทั้งสองฝ่ายรับรู้ว่า ที่จริงตำรวจติดตามสอบสวนเรื่องลับ ๆ มาตลอดเพราะมีอีกคดีหนึ่งที่ทับซ้อนกันคือการตายของธนา ในที่สุดจึงทราบหมดแล้วว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น วรตราชันจึงมอบมีดให้มหาราชาทำการสำเร็จโทษนัลลศิวัมด้วยตนเอง ในขณะที่เขาพาลูกน้องออกมาข้างนอก มหาราชาเค้นเรื่องจากนัลลศิวัมจนทราบที่อยู่ของอีกคนหนึ่งแล้วจึงจัดการฆ่าเขาเสีย

ฉากสุดท้ายที่เป็นไคลแมกซ์ของเรื่อง

มหาราชาบุกเข้าไปในรังของเสลวัม และเผชิญหน้ากัน ทันทีที่เห็นหน้าเสลวัม เขาก็ระลึกถึงสิบห้าปีก่อนที่เสลวัมถูกตำรวจคุมตัวไปต่อหน้า ทั้งสองต่อสู้กันขณะที่เสลวัมก็ได้ลำเลิกความแค้นของตนเองที่เคยถูกมหาราชาส่งเข้าคุกจนต้องจากลูกเมียไป ในที่สุดเสลวัมพลาดท่าจนถูกมหาราชาอัดติดกำแพงและทุบด้วยอิฐบล็อกจนขาหัก

เสลวัมยังคงเยาะเย้ยมหาราชา ว่าถึงแม้เขาจะพ่ายแพ้แต่ความเจ็บปวดนี้ก็จะหายไป ส่วนลูกสาวของมหาราชาที่ถูกข่มขืนจะเจ็บปวดฝังใจไปชั่วชีวิต ในตอนนั้นเองมหาราชาจึงให้ครูหญิงพาโชตีเข้ามา เธอนั่งบนเก้าอี้เผชิญหน้ากับเสลวัม แล้วบอกว่า คนอย่างเสลวัมไม่สามารถทำอะไรเธอได้ เธอจะข้ามพ้นความเจ็บปวดไปได้ และเธอจะไว้ชีวิตเขา จากนั้นก็โยนเครื่องประดับเพชรพลอยที่เสลวัมเคยปล้นมาลงไปต่อหน้าเขา ซึ่งในนั้นมีสร้อยที่เสลวัมเคยหาให้ลูกสาวรวมอยู่ด้วย

เรื่องราวปมสุดท้ายของเรื่องก็เปิดเผยขึ้น

แท้ที่จริงแล้ว บ้านที่ถูกรถบรรทุกพุ่งชนคือบ้านใหม่ของโกกิลาที่อยู่กับอัมมู ส่วนภรรยาและลูกสาวของมหาราชาที่ไปอยู่ ณ ที่นั้นก็เพราะจะเอาเครื่องประดับและสร้อยคอไปคืนให้ ทุกคนเสียชีวิตยกเว้นอัมมูที่ถูกถังขยะครอบไว้ อัมมูนี่แหละที่ถูกมหาราชาเลี้ยงดูมาตลอดในนามว่า โชตี แต่เสลวัมไม่รู้ เขาได้ยินมาแต่เพียงว่า ภรรยาเขาตายไปในเหตุการณ์ที่ทั้งสองครอบครัวเจอกันแล้วมีเด็กรอดเพียงคนเดียว ซึ่งเขาคิดว่าคือลูกสาวของมหาราชา ที่เขาจะต้องกลับมาแก้แค้นให้ได้

ขณะที่มหาราชากับโชตีเดินจากไปพร้อมกับครูหญิงของโชตี เสลวัมสังเกตเห็นตำหนิแผลเป็นที่หลังของโชตีแล้วเขาก็รู้ทันทีว่านั่นแหละคืออัมมู เสลวัมตะโกนเรียกชื่อเก่าเธอ หัวใจแตกสลายเพราะได้ตระหนักว่า ตนเองได้ลงมือทำร้ายและปล่อยให้ลูกน้องข่มขืนลูกสาวของตนเองไปโดยที่ไม่รู้ ในฉากสุดท้ายเสลวัมได้ปล่อยตัวเองดิ่งลงมาจากตึกสูง ศีรษะฟาดคานเสียชีวิต เลือดของเขาหลั่งไหลอาบรอยเท้าที่อัมมูทิ้งไว้ในกองทราย คล้ายกับสร้อยเส้นนั้นที่ได้ร่วงตามมาตกบนศพเขา

รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ