วันที่ 26 ตุลาคม 2567
เพลง I love my India (ฉันรักอินเดียของฉัน)
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Pardes ในปี 1997 ขับร้องโดย หริหรัณ (Hariharan) ดนตรีของเพลงนี้ให้อารมณ์รื่นเริงสว่างไสวเหมือนเด็ก ๆ เนื้อเพลงก็มีความตลกขบขันไม่น้อย ท่อนที่เราเปิดไปมีความหมายว่า
London dekha, Paris dekha, aur dekha Japan. Michael dekha, Elvis dekha, sab dekha meri jaan
ลอนดอนก็เห็นแล้ว ปารีสก็เห็นแล้ว ญี่ปุ่นก็เห็นมาแล้ว ไมเคิล (แจ็กสัน) ก็ดูมาแล้ว เอลวิสก็ดูมาแล้ว ดูมาหมดแล้ว ที่รักเอ๋ย
Saare jag mein kahi nahi hai dusra Hindustan
ทั้งโลกนี้ไม่มีฮินดูสตานแห่งที่สอง
Yeh duniyaa ek Dulhan ke maathe ki bindiya
โลกใบนี้คือรอยเจิมบนหน้าผากเจ้าสาวคนหนึ่ง
Yeh mera India, I love my India
นี่คืออินเดียของฉัน ฉันรักอินเดียของฉัน
เหตุที่เปิดเพลงนี้ก็เพราะคำว่า “I love my India” เป็นสารที่สั้น ง่าย แต่กินใจ แสดงความรู้สึกรักมาตุภูมิของชาวอินเดีย ซึ่งไม่แปลกที่ชาวอินเดียจำนวนมากจะรู้สึกรักชาติของตน เพราะหากพิจารณาถึงบริบทของความหลากหลายในสังคมอินเดีย ทั้งชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ค่านิยม อาหารการกิน ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแต่ละชุมชนที่มีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง และปัจจัยอื่นอีกมากมาย การที่รัฐบาลกลางของอินเดียสามารถยึดโยงความหลากหลายดังกล่าวเข้าไว้ด้วยกันจนกระทั่งเป็นปึกแผ่นและมีลักษณะเป็นประชาธิปไตยสูง โดยไม่มีกลุ่มชาติพันธุ์ใดมีอำนาจครอบงำเป็นพิเศษได้นั้น ต้องนับว่าเป็นภาระหน้าที่อันหนักหน่วงมาก ซึ่งต้องขอบคุณรัฐธรรมนูญอินเดียที่ร่างขึ้นมาอย่างชาญฉลาด
เรื่องที่จะนำเสนอในวันนี้เกิดขึ้นช่วงต้นเดือนตุลาคม และเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของอินเดีย นั่นคือ เรื่องภาษานั่นเอง กล่าวคือ
วันที่ 3 ตุลาคม 2024 มีข่าวว่า รัฐบาลกลางของอินเดียได้ประกาศสถานะ “ภาษาคลาสสิก” ให้แก่ภาษาในอินเดียเพิ่มอีก 5 ภาษา จากเดิมที่เคยมีอยู่ก่อน 6 ภาษา รวมเป็นทั้งหมด 11 ภาษาด้วยกัน
5 ภาษาใหม่ที่ว่านี้คือ ภาษาอัสสมีส ภาษาเบงกาลี ภาษามราฐี ภาษาบาลี และภาษาปรากฤต ส่วน 6 ภาษาเก่าที่เป็นภาษาคลาสสิกมาก่อนแล้วคือ ภาษากันนฑะ ภาษามลยาฬัม ภาษาโอริยา ภาษาสันสกฤต ภาษาทมิฬ และภาษาเตลุคุ (ชื่อเรียงตามอักษรภาษาอังกฤษ ไม่ได้เรียงตามความเก่าแก่ของภาษา)
จุดที่น่าสังเกตที่อยากชวนผู้ฟังพิจารณาคือ หากจัดแยกประเภทของภาษาจะพบว่าภาษาคลาสสิกทั้ง 11 ภาษาของอินเดียมีภาษาใหญ่ของอินเดียใต้คือ ภาษาตระกูลดราวิเดียน ทั้งสี่รวมอยู่ทั้งหมด และมี ภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาของคัมภีร์พระเวทและเป็นภาษาต้นตอของภาษาอื่น ๆ ในตระกูลอินโดอารยัน บวกกับ ภาษาปรากฤตและภาษาบาลี จัดเป็นภาษายุคโบราณของอินเดีย ซึ่งในปัจจุบันมิได้ใช้งานในชีวิตประจำวัน พบเฉพาะในบทสวดทางศาสนา
ส่วนภาษาอื่นที่เหลือคือ ภาษาอัสสมีส ภาษาเบงกาลี ภาษามราฐี และภาษาโอริยา เป็น ภาษาตระกูลอินโดอารยันภาคสามัญ ที่ใช้กันแพร่หลายในหมู่ชาวบ้าน สำหรับเกร็ดเกี่ยวกับแต่ละภาษานั้น ช่วงท้ายรายการจะขอพูดถึงสั้น ๆ อีกที ขอกล่าวถึงเนื้อหาข่าวก่อน
นายอัศวินี ไวษณพ (Ashwini Vaishnaw) หนึ่งในคณะมนตรีสหพันธรัฐ (Union Council of Ministers) ได้ประกาศเมื่อวันพฤหัสที่ 3 ตุลาคม 2024 ว่าคณะมนตรีได้เห็นชอบแล้วให้ประกาศสถานะภาษาในอินเดียเป็นภาษาคลาสสิกเพิ่มเติมอีก 5 ภาษา ได้แก่ ภาษาอัสสมีส ภาษาเบงกาลี ภาษามราฐี ภาษาบาลี ภาษาปรากฤต
เขาเน้นย้ำว่า นายกรัฐมนตรีโมดีมีความใส่ใจในเรื่องภาษาของอินเดียอยู่เสมอมา และขณะนี้รัฐบาลกลางของอินเดียกำลังดำเนินการอีกหลายขั้นตอนเพื่ออนุรักษ์และส่งเสริมภาษาคลาสสิกต่าง ๆ เหล่านั้น เพื่อที่จะคงไว้ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรมอันรุ่มรวยของภาษาต่าง ๆ ดังกล่าว
บทบาทของภาษาคลาสสิกเหล่านี้คือการปกปักรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันลึกล้ำและเก่าแก่ของภารัต (อินเดีย) อีกทั้งรวบรวมแก่นของหมุดหมายทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน
ภาษาปรากฤตที่เพิ่มเติมขึ้นมาทั้ง 5 ภาษานี้ สามารถโยงกับมลรัฐหรือพื้นที่ที่แต่ละภาษามีบทบาทสำคัญที่สุดได้ดังนี้
(1) ภาษาอัสสมีส ใช้ในมลรัฐอัสสัม
(2) ภาษาเบงกาลี ใช้ในมลรัฐเบงกอลตะวันตก
(3) ภาษามราฐี ใช้ในมลรัฐมหาราษฏระ
(4 และ 5) คือภาษาบาลีและภาษาปรากฤต พื้นที่สำคัญที่เคยใช้คือบริเวณแถบมลรัฐพิหาร อุตตรประเทศ และมัธยประเทศ ซึ่งอาณาบริเวณเหล่านี้ในสมัยโบราณคือศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาและศาสนาเชนนั่นเอง
ที่ผ่านมา การประกาศสถานะภาษาคลาสสิกของอินเดียนั้นมิได้กระทำพร้อมกันหลาย ๆ ภาษา แต่มีลำดับการประกาศดังนี้
(1) ภาษาทมิฬ ได้รับสถานะภาษาคลาสสิกเป็นภาษาแรก ในปี ค.ศ. 2004
(2) ภาษาสันสกฤตในปี ค.ศ. 2005
(3 และ 4) ภาษากันนฑะและเตลุคุได้รับสถานะพร้อมกันในปี ค.ศ. 2008
(5) ภาษามลยาฬัมได้รับสถานะในปี ค.ศ. 2013
(6) ภาษาโอริยาในปี ค.ศ. 2014 มาคราวนี้ซึ่งทิ้งห่างกันนานถึง 10 ปีจึงได้ประกาศสถานะ 5 ภาษาในคราวเดียวกัน
เกณฑ์การพิจารณาสถานะภาษาคลาสสิกคือ จะต้องมีประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคโบราณและมีขนบวรรณกรรมที่สืบทอดกันมาไม่ต่ำกว่า 1,500 – 2,000 ปี และมีตัวบทชิ้นสำคัญที่ยังคงตกทอดมาและได้รับการยกย่องมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ภาษานั้นจะต้องมีมรดกทางวรรณกรรมที่เป็นของตนแยกต่างหาก ไม่ขึ้นกับภาษาอื่นใด และมิได้แผลงมาจากภาษาอื่นใด (อย่างน้อยก็แยกขาดจากภาษาอื่นก่อนช่วง 1,500 – 2,000 ปีนั้นแล้ว) นอกจากนี้อาจมีกรณีที่ภาษาคลาสสิกนั้นหยุดการใช้งานไปแล้ว หรือแผลงเป็นภาษาสมัยใหม่ไปแล้ว เช่นในกรณีภาษาบาลีหรือปรากฤต
คณะมนตรีได้ชี้แจงเรื่องนี้ว่า “การรวมภาษาต่างๆ เข้าไว้เป็นภาษาคลาสสิกจะสร้างโอกาสในการจ้างงานที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิชาการและการวิจัย นอกจากนี้การเก็บรักษา การจัดทำเอกสาร และการแปลงข้อความโบราณของภาษาเหล่านี้ให้เป็นดิจิทัลจะสร้างงานในด้านการเก็บรักษาคลังข้อมูลถาวร การแปล การจัดพิมพ์ และสื่อดิจิทัล”
แน่นอนว่า งบประมาณจากทางภาครัฐในการส่งเสริมการวิจัยและการสืบทอดภาษาต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมจะเข้าสู่ท้องถิ่นที่ใช้ภาษาแต่ละภาษานั้นเพิ่มขึ้นด้วย ไม่เพียงแต่เท่านั้น รัฐบาลกลางอินเดียยังจะมอบรางวัลระดับนานาชาติสองรางวัลต่อปีแด่นักวิจัยผู้โดดเด่นในสาขาภาษาคลาสสิกแต่ละภาษา กล่าวได้ว่าผลประโยชน์จากการได้รับภาษาคลาสสิกนั้นหลั่งไหลตามมาอย่างมหาศาลทีเดียว
หลังจากการประกาศสถานะภาษาคลาสสิก นายกรัฐมนตรีโมดีก็ได้กล่าวแสดงความชื่นชมยินดี และนายหิมันตา บิสวา ศัรมา (Himanta Biswa Sharma) มุขมนตรีแห่งมลรัฐอัสสัม รวมทั้งนายเทเวนทระ ฟาดนาวิส (Devendra Fadnavis) มุขมนตรีแห่งมลรัฐมหาราษฏระ ก็ได้กล่าวแสดงความขอบคุณต่อคณะมนตรีที่ได้ให้สถานะภาษาคลาสสิกแก่ภาษาอัสสมีสและภาษามราฐีตามลำดับ

ทั้งสี่ภาษานี้คือภาษาหลักสำคัญที่สุดในตระกูลดราวิเดียน (Dravidian) ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ทางอินเดียใต้ ลักษณะเด่นประจำชาติพันธุ์คือมีผิวคล้ำเข้ม ภาษาตระกูลดราวิเดียนในทางภาษาศาสตร์จัดเป็นภาษาประเภทคำติดต่อ (agglutinative) มีลักษณะการสร้างคำโดยใช้หน่วยคำมาต่อกันยาว ๆ
ในสี่ภาษาดังกล่าว ภาษาทมิฬจัดว่าเก่าแก่ที่สุด เป็นภาษาที่พูดในมลรัฐทมิฬนาฑูเป็นหลัก และญาติใกล้ชิดที่สุดของภาษาทมิฬก็คือภาษามลยาฬัม ซึ่งพูดกันเป็นภาษาแม่ในมลรัฐเกรละที่อยู่ชายฝั่งทะเลตะวันตกของอินเดีย ทั้งสองภาษานี้เกือบจะฟังกันรู้เรื่องหมด แต่ว่าใช้อักษรคนละชุดกัน และคำศัพท์ของมลยาฬัมมีความเป็นสันสกฤตมากกว่า
ภาษาที่ห่างออกไปอีกหน่อยคือ ภาษากันนฑะ ได้แยกตัวออกจากสายหลักของภาษาทมิฬตั้งแต่ยุคกลาง ปัจจุบันพูดกันในมลรัฐกรรนาฏกะ และภาษาที่ห่างไกลจากพวกมากที่สุดคือ ภาษาเตลุคุ แยกสายออกไปตั้งแต่หลายพันปีก่อน ปัจจุบันพูดในสองมลรัฐคือ เตลังคานะและอานธรประเทศ สองภาษาหลังคือกันนฑะและเตลุคุมีชุดอักษรที่ดูหน้าตาคล้ายคลึงกันมาก
เป็นภาษาที่มีผู้พูดจำนวนมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งในมลรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย และประเทศบังกลาเทศซึ่งเดิมเคยอยู่ร่วมกันมาก่อน แต่ได้แยกออกไปเป็นปากีสถานตะวันออกและสุดท้ายปลดแอกเป็นบังกลาเทศในที่สุด
ภาษาเบงกาลีเป็นภาษาตระกูลอินโดอารยันตะวันออก มีขนบทางวรรณกรรมอันยาวนาน มีชุดอักษรเป็นของตนเอง และส่งอิทธิพลเข้ามาในสุวรรณภูมิอย่างมากมาย เนื่องจากการติดต่อค้าขายและปฏิสัมพันธ์กันในระหว่างประชาชนของทั้งสองภูมิภาค
บุคคลสำคัญที่พูดภาษานี้และใคร ๆ ก็รู้จักคือท่านครุเทพรพินทรนาถ ฐากูร รวมไปถึงท่านสวามีวิเวกานันท์ผู้มีชื่อต่อท้ายศูนย์วัฒนธรรมอินเดียทั่วโลก
ลักษณะสำคัญของภาษาเบงกาลีที่ต่างจากฮินดีและสัมพันธ์กับไทย คือถ้ามีตัวอักษรมาต่อกันสองตัว ภาษาเบงกาลีจะออกเสียงเป็นสระออหรือโอ ตัวอย่างเช่น เลข 10 ภาษาฮินดีออกเสียงว่า “ดัส” แต่ภาษาเบงกาลีออกว่า “ดช” (เหมือนคำว่า ทศ ในภาษาไทย เกร็ดสำคัญอีกข้อของภาษาเบงกาลีคือ ทราบหรือไม่ว่าเพลงชาติของอินเดียทีชื่อว่า ชนะ คณะ มนะ (Jana Gana Mana) ประพันธ์เนื้อโดยครุเทพนั้น ไม่ใช่ภาษาฮินดี แต่เป็นภาษาเบงกาลีในรูปแบบภาษาเขียนที่เรียกกันว่า “สาธุภาษา” ดังนั้น การออกเสียงที่แท้จริงของชื่อเพลงนี้จะอ่านว่า กอโน จอโน มอโน
อีกภาษาหนึ่งซึ่งมีความสนิทชิดเชื้อกับภาษาเบงกาลีไม่น้อย เป็นภาษาตระกูลอินโดอารยันฝั่งตะวันออกเหมือนกัน และรับเอาระบบอักษรเบงกาลีมาใช้ด้วยคือ ภาษาอัสสมีส เป็นภาษาที่พูดกันในมลรัฐอัสสัม จำนวนผู้พูดเป็นภาษาแม่กว่า 15 ล้านคน
จุดกำเนิดของภาษาอัสสมีส มาจากสายมาคธีปรากฤต หมายถึงภาษาปรากฤตของแคว้นมคธ หลายคนที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องของมลรัฐอัสสัมก็จะต้องทราบอยู่แล้วว่าเป็นถิ่นของชาวไทอาหม ซึ่งเป็นญาติสนิทของพวกเราอีกเผ่าหนึ่ง ดังนั้นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ภาษาอัสสมีสคือภาษาตระกูลอินโดอารยัน ไม่ใช่ภาษาเดียวกับไทอาหมแต่อย่างใด และภาษาคลาสสิกอีกภาษาหนึ่งที่ร่วมรากเดียวกันก็คือภาษาโอริยา ซึ่งเป็นภาษาหลักของมลรัฐโอฑิศา ซึ่งพัฒนาแยกสายจากมาคธีปรากฤตมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 9 และมีระบบเขียนของตนเอง มีผู้พูดเป็นภาษาแม่ถึงกว่า 35 ล้านคน
เป็นภาษาอินโดอารยันตอนใต้ พัฒนามาจากภาษาปรากฤตมหาราษฏรีในยุคโบราณ และปัจจุบันพูดกันเป็นภาษาราชการในมลรัฐมหาราษฏระ ซึ่งเมืองหลวงก็คือมุมไบนั่นเอง และยังมีผู้พูดภาษานี้กระจายไปอีกหลายมลรัฐข้างเคียง รวมจำนวนผู้พูดเป็นภาษาแม่มีไม่ต่ำกว่า 83 ล้านคน
ความเป็นมาของภาษามราฐีนั้นสืบสาวได้ยาวนานไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี เดิมทีภาษามราฐีเคยมีอักษรของตนเองด้วย ชื่อว่าอักษรโมดี (Modi Script) ซึ่งมีหน้าตาใกล้เคียงกับอักษรเทวนาครีและอักษรคุชราตี แต่ปัจจุบันนี้ภาษามราฐีนิยมใช้อักษรเทวนาครีเป็นระบบเขียนหลัก
สุดท้ายและที่สัมพันธ์กับไทยมากที่สุดคือกลุ่มภาษาโบราณ อันประกอบด้วยสันสกฤต บาลี และปรากฤต ซึ่งทั้งสามภาษานี้ปัจจุบันไม่ได้ใช้ติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน คงใช้เฉพาะบริบทศาสนาและวรรณกรรมโบราณ
จำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าคำสามคำนี้หมายถึงอะไร
ภาษาสันสกฤต หมายถึงภาษาที่เรียบเรียงระบบระเบียบไวยากรณ์จากภาษาพระเวท มีความสวยงามสลับซับซ้อน มีแบบแผนการใช้ที่เคร่งครัด และใช้ในการประพันธ์วรรณกรรมของศาสนาพราหมณ์ฮินดู
ภาษาปรากฤต ต้องเข้าใจว่าเป็นกลุ่มภาษา หาใช่ภาษาเดียวไม่ แต่เป็นภาษาหลากหลายที่แตกแขนงออกมาจากสันสกฤตอีกทีหนึ่ง จึงปรากฏชื่อตามถิ่นต่าง ๆ เช่น ภาษาปรากฤตมหาราษฏรี ภาษาปรากฤตอรรธมาคธี และภาษาปรากฤตเศารเสนี ศาสนาที่เกี่ยวข้องกับภาษานี้มากที่สุดคือศาสนาเชนของท่านมหาวีระ เพราะตัวบททางศาสนาส่วนใหญ่ปรากฏเป็นภาษาปรากฤตอรรธมาคธี
ภาษาบาลี คือภาษาที่พวกเรารู้จักกันดีที่สุด เป็นภาษาหลักของพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแพร่หลายในสุวรรณภูมิ อันได้แก่ไทย ลาว พม่า กัมพูชา รวมไปถึงลังกา ภาษาที่เราสวดมนต์อยู่ทุกวัน และใช้หยิบยกพุทธศาสนสุภาษิตกันอยู่เป็นประจำ ก็คือบาลีนี่เอง
การเพิ่มภาษาปรากฤตและภาษาบาลีเข้ามาในรายการภาษาคลาสสิกน่าจะบ่งบอกได้ถึงความพยายามของรัฐบาลโมดีในการให้คุณค่าแก่ตัวบททางศาสนาอื่น ๆ นอกเหนือจากศาสนาฮินดูด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาบาลี จะเป็นประโยชน์กับพวกเราชาวไทยมาก เพราะในอนาคตคงจะมีทุนศึกษาภาษาบาลีอีกมาก ที่จะทำให้บรรดาพระภิกษุไทยได้ประโยชน์แน่นอน
•
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ