วันที่ 2 พฤศจิกายน 2567
เพลง Madapahari (มทาปหารี)
แปลภาษาไทยว่า “ขจัดความมัวเมา” เป็นเพลงภาษาบาลี ซึ่งผู้เผยแพร่อ้างว่าเป็น “เพลงภาษาบาลีเพลงแรกในโลก” แต่แน่นอนคงไม่อาจมีหลักฐานยืนยันได้แน่ชัด เพียงแต่อย่างน้อยที่สุดคงพอกล่าวได้ว่าเป็นเพลงแรกที่เผยแพร่ลงในสื่อออนไลน์ยุคใหม่
เพลงมทาปหารีมาจากประเทศศรีลังกา เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นแหล่งที่มาของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทในดินแดนสุวรรณภูมิ เพลงดังกล่าวเผยแพร่ในปี ค.ศ. 2019 ขับร้องโดย ประอุทา พุวเนกา (Prauda Buwaneka) และประพันธ์เนื้อร้องโดย อรุณา คามเค (Aruna Gamage) ซึ่งเนื้อเพลงดังกล่าวเป็นบทสรรเสริญพระพุทธเจ้า เป็นคาถาบาลีที่ไพเราะงดงามมาก ดังจะขอให้คุณณัฐยกตัวอย่างให้ฟังสักบท
มิคมทคนฺธูปมจารุสุคนฺเธ
หอมกำจายเปรียบแม้น กลิ่นชะมด เชียงแฮ
มุนิวรธมฺโมทิตสารุททนฺเต
คือพระธรรมพระสุคต ตรัสไว้
ทินกรโสมปภาเห วิลสนฺเต
โอภาสอาจบังบด สุริยะ จันทร์แฮ
รมตุชโนมนสารวสนฺเต
ชนชื่นชมธรรมไท้ ดุจเพี้ยงฤดูวสันต์ฯ
(พระธรรมอันสูงส่งของพระพุทธเจ้านั้นหอมรื่นขจรขจายประดุจดังกลิ่นชะมดเชียง มีรัศมีโอภาสที่สว่างบดบังแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์ ขอบรรดาชนทั้งหลายจงรื่นรมย์ในพระธรรมนั้นดุจดั่งฤดูใบไม้ผลิ)
เรื่องที่เราจะนำเสนอในวันนี้เกี่ยวข้องกับหัวข้อสัปดาห์ที่แล้ว เรียกว่าต่อเนื่องกันก็ได้ เดิมทีเราต้องการนำเสนอเรื่องที่รัฐบาลอินเดียประกาศภาษาคลาสสิกใหม่รวม 5 ภาษา กล่าวคือ ภาษาอัสสมีส ภาษาเบงกาลี ภาษามราฐี ภาษาปรากฤต และภาษาบาลี
ซึ่งก็ภาษาบาลีนี่แหละที่เรารู้สึกว่ายังกล่าวถึงภาษานี้ไม่เพียงพอในครั้งที่แล้ว เนื่องจากเป็นภาษาสำคัญมาก มีความเกี่ยวข้องกับคนไทยอย่างลึกซึ้งทั้งในบริบทศาสนาและชีวิตประจำวัน กระนั้นก็ตาม เราจำเป็นต้องทราบด้วยว่า ลักษณะการใช้ภาษาบาลีทางศาสนากับในชีวิตประจำวันของคนไทยนั้นมีความแตกต่างกัน
ทางศาสนา แน่นอนว่าเราใช้ภาษาบาลีตามต้นฉบับทั้งหมดเลยในการสวดมนต์ หรือบางทีเราก็ใช้เวลากล่าวอ้างพุทธศาสนสุภาษิต อย่าง อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ หรือไม่ก็ สจฺจํ เว อมตา วาจา เป็นต้น แต่ในส่วนการใช้ในชีวิตประจำวัน คือคำศัพท์ที่ปะปนอยู่ในเวลาเราพูดจาสนทนาหรือเขียนภาษาไทย
ประเด็นแรก คนไทยจะได้ยินชื่อภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตควบคู่กันเสมอ ส่วนใหญ่เวลาที่เราพูดถึงสองภาษานี้ เราจะพูดต่อกันเลยว่าภาษาบาลีสันสกฤต นี่อาจเป็นสาเหตุที่ขอบเขตระหว่างสองภาษานี้ในความรับรู้ของคนไทยนั้นเลือนลางไม่ชัดเจน มีลักษณะเหมือนกับเป็นภาษาเดียวกัน ทั้งที่จริงแล้วเป็นคนละภาษากัน
ตัวอย่างหนึ่งที่ในชีวิตประจำวันเราพบเห็นอยู่เสมอคือ การตั้งชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชื่อคนหรือชื่อสถานที่ ก็มักมีรูปที่แผลงมาจากภาษาบาลีหรือสันสกฤตปะปนกัน ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า ขนบบาลีสันสกฤตของเรานั้นเก่ามาก จนกระทั่งมีการแตกแขนงของรูปคำที่ผสมลักษณะของสองภาษา และแผลงจนเข้ากับภาษาไทยได้สนิทเป็นเนื้อเดียว คนไทยเองก็อาจจะแยกไม่ออกว่าชื่อของตนนั้นมีรูปเป็นบาลีหรือสันสกฤต หรือว่าเป็นรูปแผลงที่ไม่ปรากฏในทั้งสองภาษาเลย
ผมเห็นด้วยในประเด็นที่ว่าภาษาบาลีสันสกฤตนั้นใกล้ตัวเรามาก เรียกว่ากว่าร้อยละ 70-80 ของคนรู้จักจะมีชื่อเป็นภาษาบาลีสันสกฤต ซึ่งจะเข้าหูคนอินเดียมาก คือคนอินเดียได้ยินก็อาจเข้าใจความหมายและโยงกับชื่ออินเดียได้เลย ทีนี้ก็อย่างที่ณัฐบอกเมื่อสักครู่ว่ามันผสมกลมกลืนกันจนแยกไม่ออกไปแล้ว

เราต้องทราบก่อนว่าระบบเสียงของทั้งสองภาษานั้นเป็นอย่างไร และความเป็นไปได้ในการแผลงเสียงจากทั้งสองภาษาเป็นอย่างไร หัวข้อนี้สนุกมากสำหรับคนนิยมภาษาอย่างผม
ประเด็นแรกคือ ภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาของคัมภีร์พระเวทมีวิวัฒนาการในลักษณะภาษาสังเคราะห์ คือกำหนดระบบระเบียบโดยมนุษย์ และเก็บรักษาการออกเสียงที่ซับซ้อนมากกว่าภาษาบาลี ซึ่งแม้จะมีการกำหนดระเบียบให้รัดกุมขึ้นเช่นเดียวกับสันสกฤต แต่ก็ปรับปรุงระบบเสียงให้เรียบง่ายและราบรื่นขึ้น ให้ฐานเกิดเสียงขัดกันน้อยลง ซึ่งเป็นลักษณะของภาษาปรากฤตที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติด้วย
ถึงตรงนี้คนฟังที่ไม่ได้เข้าใจการทำงานของภาษามาก่อนอาจจะเริ่มอยากรู้ว่า ฐานเกิดเสียงขัดกันน้อยลง หมายถึงอย่างไร
ตัวอย่างที่เห็นชัดมากก็เช่น สปฺต (sapta) ที่แปลว่า เจ็ด อันนี้คือสันสกฤต คนไทยก็เอามาแผลงใช้เช่นในคำว่า สัปดาห์ ซึ่งหมายถึงห้วงเวลาเจ็ดวัน ทีนี้ถ้าสังเกตจะเห็นว่า ตัว ป เราใช้ริมฝีปากออกเสียง ส่วนตัว ต เราใช้สิ้นแตะฟันในการออกเสียง นี่คือฐานเกิดขัดกัน พอมาเป็นรูปบาลี ก็จะกลืนเข้าหากันเป็น สตฺต (satta) ต สองตัวซ้อน เสียงก็จะสะดุดน้อยลง นี่คือปรากฏการณ์เดียวกับภาษาละติน septem กลายเป็น sette ในภาษาอิตาเลียน ไทยเราก็รับเอามาเป็นรูป สัตตะ หรือ สัต- เช่น ใบไม้เรียกว่า พญาสัตบรรณ ที่เรียกอย่างนั้นก็เพราะช่อหนึ่งจะแตกออกเป็นเจ็ดใบ อย่างนี้เป็นต้น
ตัวอย่างอื่นเช่น ไทยมีคำว่า อัษฎา เหมือนในคำว่า อัษฏางคประณต นี่ก็คือการกราบแบบอวัยวะแปดส่วนจรดพื้น คำนี้แผลงมาจาก อษฺฏ (ashta) ในภาษาสันสกฤต แปลว่า แปด มีเสียงเสียดแทรกเข้ามาตรงกลาง แต่บาลีเรียก อฏฺฐ (attha) เราก็เอามาใช้เช่นเครื่องอัฐบริขารก็คือเครื่องใช้แปดอย่างของพระภิกษุ หรือเงินหน่วยอัฐ แปลว่าหนึ่งส่วนแปดของเฟื้อง สมัยก่อนใช้เป็นความหมายว่าเงินโดยทั่วไปด้วย เช่น อัฐยายซื้อขนมยาย
ผมพอจะนึกออกและช่วยเสริมตรงนี้ได้อีกหลายคำเลย เช่นคำว่า แพทย์ ที่แปลว่า หมอ เราแผลงจากคำสันสกฤตเป็นหลัก เพราะว่ารูปเดิมของสันสกฤตคือ ไวทฺย (vaidya) เสียง ทย ซ้อนกัน ถ้าเป็นรูปบาลีนี่คือ เวชฺช (vejja) กลายมาเป็น ช สองตัวซ้อนกัน ที่เราเห็นบ่อย ๆ ในภาษาไทยจะมีทั้ง ช สองตัวหรือตัดเป็น ช ตัวเดียวก็มี เช่นคำว่า เวชศาสตร์ เวชกรรม เวชภัณฑ์ ใช้ในชื่อคนก็เยอะ อย่างนามสกุล เวชชาชีวะ สุนทรเวช พวกนี้เดิมทีก็สืบมาจากอาชีพแพทย์ หรือแม้กระทั่งรูปแบบสันสกฤตอย่าง ไวทยะ ก็ถูกนำมาใช้ด้วย เช่นนามสกุล วีรไวทยะ เป็นต้น
คำว่าแพทย์นี่ก็น่าสนใจ เพราะว่ามันมีอีกคำในภาษาสันสกฤตที่คนไทยรู้จักดี ออกเสียงเดียวกัน แต่สะกดว่า แพศย์ เป็นตัว ศ ศาลา เพราะคำนี้แผลงมาจากคำว่า ไวศฺย (Vaishya) ที่หมายถึงพ่อค้า เพราะฉะนั้นเวลาพูดถึงวรรณะแพศย์ของอินเดีย อย่าได้สับสนว่าหมายถึงคนที่ประกอบอาชีพหมอนะครับ สำหรับคำนี้ภาษาบาลีจะมีรูปเป็น เวสฺส (vessa) ก็คือทำให้เป็น ส ซ้อนกันเพื่อกลืนเสียงอีกแล้ว ตรงนี้มีเกร็ดที่ผมอยากจะเสริมด้วยว่า ทุกท่านคงรู้จักพระเวสสันดร คำว่าเวสสันดร ในความหมายหนึ่งอาจหมายถึง อยู่ท่ามกลางหมู่พ่อค้า มีอรรถาธิบายว่าเป็นเพราะพระองค์ประสูติในย่านพ่อค้า ดังนั้นในเอกสารเก่าย้อนขึ้นไปถึงอยุธยาก็จะออกนามพระองค์ว่า “แพศยันดร” ตามรูปภาษาสันสกฤตว่า ไวศฺยนฺตฺร (vaishyantra) เพิ่งจะมาในสมัยรัตนโกสินทร์ที่นิยมชื่อ เวสสันดร มากกว่า และอยากจะเสริมด้วยว่าที่จริงชาดกเรื่องนี้ฉบับภาษาสันสกฤตเรียกว่า วิศฺวนฺตฺราวทาน (Vishvantravadana) วิศวะหมายถึงจักรวาล คือพระองค์อยู่ท่ามกลางจักรวาลทั้งปวง เข้าใจว่าการได้ชื่อ แพศยันดร มานั้นอิงตามความหมายเดิมที่มีอรรถกถาในบาลี เรื่องพระองค์ประสูติในย่านพ่อค้า ไม่ได้มาจากฉบับสันสกฤตจริง
คำอีกคู่หนึ่งที่ผมนึกออก และเกี่ยวข้องกับวิชาที่ผมสอนอยู่โดยตรงคือคำว่า ราษฎร ในภาษาไทย เราใช้กันในความหมายว่าประชาชนชาวรัฐ ทราบหรือไม่ว่าคำว่าราษฎรนี้ที่จริงแล้วคือคำเดียวกับคำว่า รัฐ นั่นเอง คำว่าราษฎร เรารับจากภาษาสันสกฤตว่า ราษฺฏฺร (rashtra) และคำนี้มีรูปเป็นภาษาบาลีว่า รฏฺฐ (rattha) ครั้นตกมาอยู่ในภาษาไทย เราได้ใช้ในความหมายต่างกัน กล่าวคือ ใช้คำว่า ราษฎร หมายถึง people ในขณะที่คำว่า รัฐ หมายถึงตัว state เลย
คู่สุดท้ายที่อยากจะยกตัวอย่างนั้นสนุกมากคือคำว่า พิสดาร ในภาษาไทย รับมาจากภาษาสันสกฤตว่า วิสฺตาร (vistara) หมายถึง ละเอียดละออ คำนี้ตรงกับรูปบาลีว่า วิตฺถาร (vitthara) สังเกตว่าเป็นการลดเสียงซ้อน st มาเป็น tth ให้เสียงออกตามกัน ในทางพระยังคงใช้คำนี้ในความหมายเดิม คือละเอียด เช่น วิตฺถารนย (vittharanaya) หมายถึง แจกแจงความหมายโดยละเอียด (ตรงข้ามกับสังเขป หมายถึงโดยย่อ) ทว่าในภาษาคนทั่วไป ทั้งสองคำนี้กลับเปลี่ยนความหมายไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ และออกไปคนละทางด้วย คือคำว่า พิสดาร คนทั่วไปมักใช้ในความหมายว่า แปลกประหลาดพิลึกพิลั่น ส่วนคำว่า วิตถาร ความหมายหนักกว่านั้นอีก คือมักมีนัยไปเรื่องทางเพศที่ผิดปกติ เรียกว่าภาษาทั้งคู่นี้มีพลวัตในภาษาไทยอย่างอัศจรรย์ (สันสกฤต อาศฺจรฺย (ashcarya) บาลี อจฺฉริย (acchariya)) มาก
หวังว่าที่พวกเราเล่ามานี้คงจะทำให้ผู้ฟังได้รับเกร็ดความรู้พอสมควรกับภาษาที่เป็นที่มาของถ้อยคำมากมายในภาษาไทย คราวนี้จะกล่าวถึงการส่งเสริมภาษาบาลีในอินเดียกันบ้าง
วันที่ 17 ตุลาคม 2024 นายกรัฐมนตรีโมดีประกาศว่า รัฐบาลอินเดียจะดำเนินโครงการต่าง ๆ มากมายเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาภาษาบาลีและคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่จารึกคำสอนพระพุทธเจ้าไว้เป็นภาษาบาลี สาเหตุที่เป็นวันที่ 17 ตุลาคมก็เพราะว่าวันดังกล่าวเป็นที่ระลึกถึงในนาม “วันอภิธรรมสากล” (International Abhidhamma Day) เนื่องในโอกาสที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ หลังจากแสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดา
โมดีกล่าวว่า ภาษาบาลีได้รับสถานะภาษาคลาสสิกแล้ว และเป็นภาษาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจธรรมะ ภาษาไม่เพียงแต่เป็นวิธีการสื่อสารเท่านั้น แต่ยังเป็นจิตวิญญาณของอารยธรรม เป็นวัฒนธรรม เป็นมรดกตกทอด เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องรักษาภาษาบาลีให้คงอยู่และถ่ายทอดสารของพระพุทธเจ้าผ่านภาษาบาลี
โมดียืนยันหนักแน่นชัดเจนว่า รัฐบาลอินเดียจะอนุรักษ์และส่งเสริมภาษาบาลี และยังเสริมด้วยว่า ช่วงศตวรรษก่อนการได้รับเอกราช บรรดาผู้รุกรานพยายามที่จะกวาดล้างอัตลักษณ์อินเดียออกไป แม้แต่ช่วงหลังได้รับเอกราช คนที่ยังมีความคิดแบบทาสก็ยังคงทำเยี่ยงนั้นอยู่
โมดีพูดถึงพุทธศาสนาไว้อย่างจับใจว่า “ระบบนิเวศในยามนั้น (สมัยอาณานิคม) ได้พาอินเดียออกห่างจากมรดกของตนเอง แล้วอินเดียก็ล้าหลังอย่างยิ่ง ขณะนี้รัฐบาลอินเดียกำลังพยายามทุกวิถีทางที่จะฟื้นฟูมรดกทางพุทธศาสนาในอินเดีย ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เราได้นำศิลปวัตถุกลับมายังอินเดียกว่า 600 ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นวัตถุทางพุทธศาสนา”
โมดีกล่าวถึงภาษาบาลีต่อไปอีกว่า “เรากำลังพยายามส่งเสริมภาษาบาลีผ่านแอป การทำข้อมูลให้เป็นดิจิทัลและการจัดเก็บคลังข้อมูลถาวรเพื่อการวิจัย เราจำเป็นต้องใช้ความพยายามทั้งด้านวิชาการและด้านจิตวิญญาณเพื่อที่จะเข้าใจภาษาบาลี บรรดาครูอาจารย์และนักวิชาการจะต้องช่วยกันนำทางให้ผู้คนเข้าใจพุทธธรรมให้ได้”
ฟังแล้วก็น่าชื่นใจที่รัฐบาลอินเดียเห็นความสำคัญของพุทธธรรมถึงเพียงนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ภายในไม่กี่ปีหลังจากนี้คงจะมีโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับพุทธศาสนาออกมาอีก ซึ่งโครงการเหล่านี้ รัฐบาลอินเดียคงจะหันเข้าหาประเทศไทยในฐานะหนึ่งในประเทศผู้นำทางพุทธศาสนาระดับโลก คาดหวังได้ว่า บุคลากรของทั้งสองประเทศจะต้องทำงานร่วมกันเพื่อจรรโลงมรดกแห่งภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ชิ้นนี้ให้สืบทอดไปสู่อนุชนรุ่นหลัง และยืนยงต่อไปนานเท่านาน
อย่างที่เคยเกริ่นไว้ในตอนที่แล้ว พระภิกษุสามเณรและนักวิชาการด้านภาษาบาลีในไทย ซึ่งมีความเก่งกาจไม่น้อยหน้าไปกว่าในประเทศอื่น ๆ เชิญแต่ละท่านเตรียมตัวผลิตผลงานวิชาการไว้ให้มาก ๆ ได้เลย เผื่อจะได้รับทุนการศึกษาให้ไปเรียนต่อที่อินเดีย แหล่งดั้งเดิมของภาษาบาลี หรืออาจได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติยศด้านวิจัยภาษาบาลีก็เป็นได้
•
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ