ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ มีความหมายต่ออินเดียอย่างไร
476 views
0
0

เพลง Sandese Aate Hai
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Border ออกฉายในปี ค.ศ. 1997 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับ อำนวยการผลิต และเขียนบทโดยเจ.พี. ทัตตา (J.P. Dutta) ดารานำก็ล้วนแต่มีชื่อเสียงทั้งนั้น เช่น ซันนี เดโอล (Sunny Deol) สุนีล เศฏฐี (Suniel Shetty) แจ็กกี ชร็อฟ (Jackie Shroff) อักษัย ขันนา (Akshaye Khanna) ปุณีต อิสสาร์ (Puneet Issar) สุเทศ แบรี (Sudesh Berry) เพลงนี้ขับร้องโดยรูปกุมาร ราโฐฑ (Roopkumar Rathod) และโสนุ นิคม (Sonu Nigam)

ที่เปิดเพลงนี้ให้ฟังก็เพราะว่าไม่น่าจะเคยเปิดให้ฟัง ทั้ง ๆ ที่เป็นเพลงหนึ่งในยอดฮิตตลอดกาลเลยก็ว่าได้ จริง ๆ แล้วตัวภาพยนตร์ก็ติดอันดับหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมมาก

ดังที่เราเคยกล่าวไว้ ถ้าพอมีเวลาก็จะแปลเนื้อเพลงให้บ้าง ก็ขอแปลเท่าที่เปิดให้ฟัง ตอนผมแปลก็ใคร่ให้ผู้ฟังจินตนาการด้วยว่า ฉากที่ร้องเพลงกันนี้คือชายแดนเมื่อทหารอินเดียเหล่านี้ไปประจำการพร้อมรบในสงคราม

Sandese aate hai
มีข้อความมาถึง
Humein tadpate hai
ข้อความเหล่านี้ช่างทำให้ทรมาน
Woh chitti aati hai
มีจดหมายมาถึง
Woh pooche jaati hai
จดหมายเหล่านี้ถามพวกเราตลอด
Ke ghar kab aaoge
เมื่อไหร่จะกลับบ้าน
Ke ghar kab aaoge
เมื่อไหร่จะกลับบ้าน
Likho kab aaoge
เขียนสิ เมื่อไหร่จะกลับบ้าน
Ke tum bin yeh ghar suna suna hai
บ้านนี้เงียบเหงาเมื่อไม่มีเธอ

ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ มีความหมายต่ออินเดียอย่างไร (นาที 5.25)

ในฐานะที่สหรัฐอเมริกาเป็นมหาอำนาจสำคัญของโลก ยากที่จะปฏิเสธได้ว่า ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ย่อมส่งผลต่อโลกอย่างสำคัญ วันนี้เราจะมาดูกันสักหน่อยว่า โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ (Donald J. Trump) ที่ได้รับชัยชนะจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอินเดียอย่างไร

ชาวอินเดียน่าจะจับตาดูว่า ชัยชนะของทรัมป์จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออินเดียอย่างไร เราขอใช้เวลาพูดคุยในประเด็นสำคัญ เช่น การค้า กฎระเบียบเกี่ยวกับวีซ่า H-1B และอื่นๆ

ด้านการค้า

รัฐบาลของทรัมป์น่าจะดำเนินนโยบายการค้าที่มีสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง โดยผลักดันให้อินเดียลดอุปสรรคทางการค้าหรือไม่ก็ต้องเผชิญภาษีตอบโต้ ซึ่งทรัมป์เคยทำมาแล้วในสมัยที่ตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรก

นี่อาจส่งผลกระทบต่อภาคส่วนสำคัญของอินเดีย เช่น ไอที เภสัชกรรม และสิ่งทอ ซึ่งมีการส่งออกจำนวนมากไปยังตลาดสหรัฐฯ ด้วยการผลักดันให้เกิดการค้าที่สมดุล แนวทางของทรัมป์อาจจะทำให้อินเดียต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การค้าของตน แต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธมิได้ด้วยว่า อินเดียจะได้รับโอกาสมากขึ้นด้วย

ดูตัวเลขทางเศรษฐกิจกันสักหน่อยว่าสหรัฐฯ สำคัญต่ออินเดียอย่างไร

ระหว่าง 10 ปี (ค.ศ. 2013 – 2024) สหรัฐส่งออกไปยังอินเดียเพิ่มขึ้น คือเพิ่มจาก 23,400 ล้าน เหรียญสหรัฐฯ เป็น 28,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ใขณะที่อินเดียในระยะเวลา 10 ปีที่ว่านี้ ส่งออกไปสหรัฐฯ จาก 38,600 ล้านเหรียญสหรัฐ พุ่งไปสู่ 54,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หากนำ 54,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตั้งแล้วหักลบกับ 38,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็เท่ากับว่าอินเดียในปัจจุบันได้ดุลสหรัฐฯ มากถึง 16,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ทั้งหมดนี้ยังต้องไม่ลืมด้วยว่า ทรัมป์เคยเรียกอินเดียว่า “ราชาภาษี” (tariff king) และ “ผู้หาประโยชน์การค้าในทางที่ผิด” (trade abuser)

อินเดียน่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายด้านการค้าของทรัมป์

มีรายงานบางฉบับ มีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญบางคนมองคล้ายกันว่า อินเดียน่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายด้านการค้าของทรัมป์ คือได้มากกว่าเสีย

ตรงนี้อาจจะต้องขยายความเพิ่มเติมว่า การเมืองระหว่างประเทศที่ทรัมป์เพ่งเล็งนั้นน่าจะอยู่ตรงเอเชียเป็นหลัก ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะจีน สำหรับทรัมป์แล้ว สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก ทรัมป์เคยกล่าวในทำนองว่า หากเขาเป็นประธานาธิบดี ไม่ใช่โจ ไบเดน (Joe Biden) ก็คงไม่มีสงครามนี้อย่างแน่นอน

ทรัมป์ค่อนข้างเห็นพ้องกับนักวิชาการของสหรัฐฯ ที่มองว่า รัสเซียไม่ใช่ประเทศที่สหรัฐฯ ควรให้ความสนใจในแง่ของศัตรู หากแต่เป็นจีนต่างหากที่มีทั้งศักยภาพในด้านต่าง ๆ เหนือกว่ารัสเซีย จีนเป็นประเทศเดียวเท่านั้นที่มีศักยภาพในการท้าทายสหรัฐฯ

ตรงนี้ก็ทำให้หลายคนมองว่า เป้าหมายสำคัญของทรัมป์น่าจะเป็นการย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนไปยังประเทศที่สหรัฐฯ รู้สึกพึงพอใจ เช่น อินเดีย ทั้งนี้ต้องไม่ลืมด้วยว่า โมดีกับทรัมป์ก็สนิทสนมกันมากพอสมควร โมดีเคยไปปราศรัยให้ชาวอินเดียโพ้นทะเลในสหรัฐฯ และเชิญทรัมป์มาร่วมด้วย ทรัมป์รู้สึกตกใจมากว่า โมดีสามารถเรียกคนอินเดียโพ้นทะเลในสหรัฐฯ มานั่งฟังได้มากถึง 50,000 กว่าคน ที่สำคัญโมดีเชิญทรัมป์มาที่อินเดีย และจัดพื้นที่ให้ทรัมป์ปราศรัยด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคนเข้าร่วมมากถึง 100,000 คน

ตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ ก็น่าสนใจไม่น้อยเลย การลงทุนโดยตรงของสหรัฐฯ ในอินเดียคิดได้ ร้อยละ 11.3 ในปัจจุบัน เทียบกับ ร้อยละ 3.3 ในปีการเงิน ปี ค.ศ. 2014 ที่สำคัญคือ การเพิ่มขึ้นของการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ ไปยังอินเดียเกิดขึ้นหลังจากการเกิดขึ้นของโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งตรงนี้ก็เกี่ยวข้องกับสมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี

การจำกัดวีซ่าประเภท H-1B

สิ่งที่ชาวอินเดียจำนวนหนึ่งอาจจะรู้สึกกังวลเมื่อทรัมป์เป็นประธานาธิบดีก็คือ การจำกัดวีซ่าประเภท H-1B การจำกัดที่ว่าคือ การทำให้เกณฑ์คุณสมบัติแคบลง และ/หรือเพิ่มการพิจารณาใบสมัครให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น

คาดกันว่า เพื่อให้นโยบายการสร้างงานของสหรัฐฯ เป็นไปได้จริง ในปี 2025 เมื่อทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง คงจะเห็นความเข้มงวดมากขึ้น เช่น ข้อกำหนดค่าจ้างที่สูงขึ้นสำหรับผู้ถือ H-1B เพื่อให้แน่ใจว่าตำแหน่งเหล่านี้จะไม่เข้ามาแทนที่ชาวอเมริกัน นอกจากนี้ จำนวนวีซ่า H-1B อาจลดลง และอาจจะปรับระบบวีซ่าเพื่อรองรับผู้ที่มีวุฒิการศึกษาขั้นสูงหรือทักษะเฉพาะทาง

ว่าด้วยความกังวลนี้ เราอาจจะต้องดูตัวเลขกันสักหน่อยว่าชาวอินเดียเดินทางไปทำงานที่ประเทศใดมากสุด

อันดับที่ 1 คือประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คิดเป็นร้อยละ 25.8
อันดับที่ 2 คือประเทศซาอุดีอาระเบีย คิดเป็นร้อยละ 11
อันดับที่ 3 คือสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 7.4
อันดับที่ 4 คือประเทศไทย คิดเป็นร้อยละ 5.3
อันดับที่ 5 คือสิงคโปร์ คิดเป็นร้อยละ 4.9
ที่เหลือหรือ “อื่น ๆ” คิดเป็นร้อยละ 45.6

การไปทำงานนอกประเทศก็อาจจะเป็นเรื่องดี เพราะชาวอินเดียที่ไปทำงานนอกประเทศส่งเงินกลับบ้าน มีฐานะมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่ง ณ ขณะนี้ชาวอินเดียที่ไปอยู่ที่สหรัฐฯ นับได้มากถึงร้อยละ 6 ของประชากรสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะไม่ดีด้วย เพราะบ่งบอกถึงภาวะ “สมองไหล” โดยเฉพาะหากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเดินทางไปทำงานนอกประเทศ ก็จะทำให้อินเดียพัฒนาได้ช้าลง

อินเดียอาจจะมีโอกาสปรับภาพลักษณ์ของอินเดียกับสหรัฐฯ

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ต่อจากนี้ไปอินเดียอาจมีโอกาสปรับภาพลักษณ์ของอินเดียกับสหรัฐฯ และพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่ผ่านมาหลังจากรัสเซียบุกยูเครนและนำไปสู่สงครามระหว่างทั้งสองนั้น อินเดียถูกมองในแง่ลบโดยพันธมิตรว่าอินเดียสนิทสนมใกล้ชิดกับรัสเซียที่นำโดยวลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Putin)

ภาพลักษณ์ที่ว่านี้อาจรวมถึงบทบาทของอินเดียในการใช้ความรุนแรงต่อนักเคลื่อนไหวชาวซิกข์ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

รัฐบาลใหม่นำโดยทรัมป์ น่าจะเข้มงวดน้อยลงในการเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาลอินเดียสำหรับข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารผู้นำซิกข์ในแคนาดาที่เรียกร้องการแบ่งแยกดินแดนของซิกข์ และการวางแผนจะสังหารผู้นำซิกข์ในสหรัฐอเมริกาที่เรียกร้องการแบ่งแยกดินแดนซิกข์
รัฐบาลไบเดน กดดันให้อินเดียสอบสวนและดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้อง อินเดียปฏิเสธอย่างเป็นทางการว่าไม่ได้เตรียมการลอบสังหารใด ๆ

สำหรับทรัมป์แล้ว จีนเป็นความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ฉะนั้นแล้ว คุณค่าร่วมกันระหว่างสหรัฐฯ กับอินเดียจะต้องให้ความสำคัญเรื่องหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างทั้งสองเป็นลำดับต้น ที่สำคัญคือ ความสัมพันธ์ด้านกลาโหมโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีนั้นไปไกลมากแล้ว ทรัมป์น่าจะให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาเป็นพิเศษ

[ประชาสัมพันธ์] งาน 555 พรรษา คุรุนานักสมภพ

จะมีงานสำคัญเกี่ยวกับศาสนาซิกข์ งานนี้มีชื่อว่า "555 พรรษา คุรุนานักสมภพ" ในวันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน และวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2567 จัดโดย กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม, สมาคมศรีคุรุสิงห์สภา, ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา และสาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2567 เวลา 08.30 – 16.00 น. พิธีเปิดนิทรรศการ และการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมชาวซิกข์ พร้อมรับประทานอาหารกลางวันแบบอินเดีย

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.00 – 12.00 น. การเสวนาในหัวข้อ “ซิกข์คืออะไรที่ไทยยังไม่รู้จัก” โดยคณะวิทยากรจากสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา และคณาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้อง 707 ชั้น 7 อาคารบรมราชกุมารี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ พร้อมรับประทานอาหารว่างแบบอินเดีย

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เวลา 13.00 – 17.00 น. ชมภาพยนตร์อินเดียเรื่อง Kesari และร่วมเสวนา ณ ห้อง 301 ชั้น 3 อาคารมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ พร้อมรับประทานอาหารว่างแบบอินเดีย

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊กของสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ

รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ