การนำเสนอของนิสิตวิชาอินเดียร่วมสมัย ปี 2567 (ตอนที่ 2)
390 views
0
0

เพลง Tumhi Meri Mandir Tumhi Meri Pooja (คุณเป็นทั้งวัดและการบูชาของฉัน)
เพลงนี้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Khandan ฉายในปี ค.ศ. 1965 กำกับและอำนวยการผลิตโดย เอ ภีมสิงห์ (A. Bhimsingh) ดารานำคือสุนีล ทัตต์ (Sunil Dutt) นุตัน (Nutan) และ โอม ประกาศ (Om Prakash) ผู้ขับร้องเพลงนี้ก็คือลตา มังเคศการ์ (Lata Mangeshkar)

การนำเสนอของนิสิตวิชาอินเดียร่วมสมัย ปี 2567 (นาที 3.35)

ตอนที่แล้วเราพูดถึงการนำเสนอของนิสิตในวิชาอินเดียร่วมสมัยไว้ แต่เรานำมาเล่าให้ผู้ฟังได้เพียงแค่การนำเสนอของนิสิต 2 กลุ่มเท่านั้น วันนี้จะขอนำเสนอที่เหลืออีก 7 กลุ่ม

หัวข้อทั้งหมด 9 กลุ่ม
1. ความคล้ายคลึงระหว่างประเพณีอินเดียกับไทย
2. ทำไมพระพุทธศาสนาจึงเสื่อมลงในอินเดีย
3. เทศกาลโฮลี
4. บทบาททางเพศในสังคมอินเดียปัจจุบันและปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง
5. เปิดกรุความงามสาวอินเดีย
6. รูปแบบการปกปิกเนื้อหนังของเสื้อผ้าสตรีอินเดีย
7. สังคมอินเดียและดอกไม้สด
8. อุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย เหมือนหรือต่าง?
9. เอ็ม. เอฟ. ฮุสเซน กับการก้าวข้ามค่านิยมดั้งเดิมและการตีความทางศิลปะในอินเดีย

ในจำนวน 9 กลุ่มนี้ ที่เราได้เล่าให้ฟังแล้วคือ 2 กลุ่มแรก คือ 1. ความคล้ายคลึงระหว่างประเพณีอินเดียกับไทย และ 2. ทำไมพระพุทธศาสนาจึงเสื่อมลงในอินเดีย

กลุ่มที่ 3 เทศกาลโฮลี

ซึ่งน่าสนใจมาก เหตุที่น่าสนใจมากก็เพราะหลายคนยังเข้าใจผิดว่า เทศกาลโฮลีคือเทศกาลสงกรานต์ของอินเดีย แม้สงกรานต์จะมีต้นกำเนิดจากอินเดีย แต่เทศกาลโฮลีไม่ใช่เทศกาลสงกรานต์ของอินเดีย

ในการนำเสนอ นิสิตกลุ่มนี้ได้ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เทศกาลโฮลีนั้นสัมพันธ์กับตำนานของพระวิษณุและโฮลิกา เป็นตำนานที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาชนะความชั่วร้ายด้วยความดีและความศรัทธา ซึ่งนางโฮลิกามีสถานะหรือเป็นสัญลักษณ์เทียบเท่าความชั่ว ในขณะที่ประหลาท ผู้ซึ่งศรัทธาต่อพระวิษณุ มีสถานะหรือเป็นสัญลักษณ์แห่งความดี ด้วยเหตุนี้จึงมี จึงมีการเผาเพื่อรำลึกถึงการเผาโฮลิกา

ตำนานที่สำคัญอีกคือ ตำนานของพระกฤษณะและนางราธา คือเรื่องราวความรักระหว่างพระกฤษณะ (Krishna) กับนางราธา (Radha) ซึ่งพระกฤษณะทรงมีผิวดำและนางราธามีผิวขาวมาก พระกฤษณะจึงได้เล่นละเลงสีให้นางราธามีผิวพรรณเป็นสีสัน การละเลงสีจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก รวมถึงความเสมอภาค

หลังจากนั้นกลุ่มนี้ก็นำพาเราไปสู่เรื่องของการแต่งกาย สถานที่เกิดของพระกฤษณะ ซึ่งมีผู้คนมาร่วมฉลองเทศกาลโฮลีกันอย่างมากมาย ที่สำคัญการเฉลิมฉลองเทศกาลโฮลีที่พรัชภูมิ (Braj Bhumi) ที่ชาวอินเดียจำนวนมากเชื่อว่าเป็นบ้านเกิดของพระกฤษณะ ก็มักเห็นชายอินเดียโพกหัว เปรียบเสมือนพระกฤษณะ และก็มีผู้หญิงที่เปรียบเสมือนโคปี (Gopis) ใช้ไม้ตีผู้ชายเหล่านี้ในลักษณะหยอกล้อ สักพักหนึ่งกลุ่มนี้ก็นำพาเราไปสู่เรื่องอาหารการกินที่มักจะนิยมรับประทานกันในช่วงเทศกาลโฮลี

ที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษคือ กลุ่มนี้ชี้ให้เห็นด้วยว่าการเฉลิมฉลองเทศกาลโฮลีก็มีประเด็นปัญหาไม่น้อย รวมถึงการใช้สีที่อาจไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งก็มีการปรับเปลี่ยนกันมามากพอสมควร และปัญหาสำคัญอีกข้อคือ การคุกคามทางเพศ

กลุ่มที่ 4 บทบาททางเพศในสังคมอินเดียปัจจุบันและปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง

กลุ่มนี้มีข้อโต้แย้งว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในสังคมอินเดีย คือ การเข้าถึงการศึกษาที่เพิ่มขึ้น แนวคิดแบบปิตาธิปไตย และความเชื่อทางศาสนา

ต้องยอมรับว่า นิสิตกลุ่มนี้ทำการบ้านมาพอสมควร คือใช้ข้อมูลสำรวจขององค์การวิจัยแห่งหนึ่งที่น่าเชื่อถือ และนำข้อมูลเหล่านี้มาขยายความให้ฟังอย่างละเอียดยิ่ง ชาวอินเดียที่มีการศึกษาระดับวิทยาลัยมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนบทบาททางเพศที่เท่าเทียมมากกว่า

ผู้คนบางศาสนามีแนวโน้มที่จะสนับสนุนความเสมอภาคทางเพศมากกว่าผู้คนที่นับถือศาสนาอื่น ในบรรดาศาสนาทั้งหมดที่มีอยู่ในอินเดีย ผู้คนที่นับถือศาสนาซิกข์มีมุมมองต่อความเสมอภาคทางเพศมากสุด

กลุ่มที่ 5 เปิดกรุความงามสาวอินเดีย

เป็นหัวข้อที่แลดูจะสนุกสนาน ทว่าแฝงไว้ด้วยสารัตถะสำคัญทางวิชาการไม่น้อยเลย

กลุ่มนี้พูดถึงเทรนด์การแต่งหน้าแบบอินเดียที่กลายเป็นกระแสไวรัลระดับโลก การใช้เทคนิค ผลิตภัณฑ์ความงามและสกินแคร์ รวมถึงความหลากหลายว่าด้วยความงามของชาวอินเดีย

ที่บอกว่ามีแก่นสารทางวิชาการก็เพราะมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ว่าด้วยความงามที่น่าสนใจ และการเปลี่ยนแปลงหรือการดำรงอยู่ของความงาม ที่ชอบมากคือ 1. ชาวอินเดียไม่ได้นิยมเครื่องสำอางจากประเทศตะวันตกแต่อย่างเดียว 2. ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการจะมีผิวขาว 3. มีความผสมผสานไม่น้อยเลยทีเดียว

เรื่องที่กลุ่มนี้พูดถึงได้ดีคือเรื่องกระแสความนิยมเครื่องสำอางแบบอายุรเวทและสมุนไพร ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของอินเดีย และแบรนด์ตะวันตกไม่อาจเอาชนะได้

นี่เป็นโอกาสของประเทศไทย เพราะสมุนไพรของไทยก็ใช่ว่าจะด้อยไปกว่าของอินเดียสักเท่าไรนัก เรามีสมุนไพรพื้นบ้านทรงคุณค่าหลายชนิด ถ้าเราหันมาส่งเสริมสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม ก็จะนำความเจริญทางเศรษฐกิจมาสู่ท้องถิ่นได้แน่นอน

กลุ่มที่ 6 รูปแบบการปกปิดเนื้อหนังของเสื้อผ้าสตรีอินเดีย

กลุ่มนี้ใช้แต่ภาพเป็นส่วนใหญ่ในการนำเสนอ ซึ่งต้องยอมรับว่าเก่งมาก ในขณะที่นำเสนอเราก็จะจดจ่ออยู่กับภาพต่าง ๆ นิสิตกลุ่มนี้ก็จะพาเราเข้าใจแต่ละภาพว่าการปกปิดเนื้อหนังของเสื้อผ้าสตรีอินเดียนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ในขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ดั้งเดิมแบบผสมผสานด้วย

กลุ่มที่ 7 สังคมอินเดียและดอกไม้สด

ก่อนอื่นใดต้องขอชมกลุ่มนี้มากเป็นพิเศษในเทคนิคด้านการนำเสนอ สองคนที่นำเสนอไม่อ่านโพย แต่ใช้วิธีการเล่าได้อย่างชำนาญยิ่ง ทำให้ผมสังเกตว่าทั้งสองนี้น่าจะมาจากคณะนิเทศศาสตร์ ซึ่งก็จริงอย่างที่คิด นิสิต 2 คนนี้บอกด้วยว่าได้รับการฝึกมาตั้งแต่เข้าเรียนว่าการนำเสนอต้องเป็นอย่างไร

สำหรับสาระก็ต้องยอมรับว่าเก่งกาจไม่น้อยเลย คือใช้ดอกไม้เป็นตัวเรื่องเพื่อทำให้เราเข้าใจพิธีกรรมต่างๆ ของอินเดีย ก่อนจะพาเราไปดูตัวเลขด้านเศรษฐกิจว่าด้วยการส่งออกดอกไม้

โดยส่วนตัวแล้วผมเองก็ชอบกลุ่มนี้มากเหมือนกันเพราะเริ่มจากคำเพียงคำเดียวคือ ดอกไม้ นำออกมาตีแผ่ได้ในเชิงลึก ทำให้เนื้อหาฟังได้เพลิดเพลิน น่าชื่นชมการค้นคว้าที่พยายามจะลงลึกให้ได้มากที่สุด ซึ่งเหมาะแล้วกับเวลาการนำเสนอที่จำกัด

กลุ่มที่ 8 อุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย เหมือนหรือต่าง?

เรื่องนี้สำคัญมาก ส่วนสำคัญมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดียประกอบด้วยอุตสาหกรรมย่อยตามท้องถิ่นไม่น้อย ดังนั้นชาวไทยเราเวลาดูหนังอาจจะเข้าใจว่าหนังอินเดียน่าจะมาจากที่เดียวนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิด

กลุ่มนี้ได้นำเสนอชี้ให้เห็นว่า แท้จริงแล้วอุตสาหกรรมย่อยเหล่านี้มีบทบาทในการผลิตภาพยนตร์อย่างสำคัญยิ่ง และอุตสาหกรรมย่อยแต่ละแห่งก็มีลักษณะเฉพาะเจาะจงของตนด้วย

กลุ่มที่ 9 เอ็ม. เอฟ. ฮุสเซน กับการก้าวข้ามค่านิยมดั้งเดิมและการตีความทางศิลปะในอินเดีย

พูดถึงศิลปะภาพเขียนโดย เอ็ม. เอฟ. ฮุสเซน ที่พยายามสร้างสรรค์งานศิลปะที่ก้าวข้ามค่านิยม ทว่าแรงต่อต้านต่อเขาก็มีไม่น้อย ซึ่งในที่สุดเราก็มาสู่ข้อสรุปว่า การสร้างศิลปะเป็นเรื่องดีงาม แต่ต้องไม่ไปลบหลู่ศาสนาของผู้อื่น

รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ