75 ปีรัฐธรรมนูญอินเดีย : สดมภ์แห่งเอกภาพและความเจริญรุ่งเรือง (ตอนที่ 1)
525 views
0
0

เพลง Rang De Basanti
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อเดียวกับเพลง ภาพยนตร์ Rang De Basanti ออกฉายในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 2006 ซึ่งหลายคนที่พอรู้เรื่องอินเดียคงทราบกันบ้างแล้วว่า 26 มกราคม คือวันสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับหัวข้อของเราในวันนี้ นั่นคือ เมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1950 อินเดียได้นำรัฐธรรมนูญฉบับของตนมาใช้เป็นครั้งแรก

ภาพยนตร์ Rang De Basanti กำกับและอำนวยการผลิตโดยราเกศ โอมประกาศ เมห์รา (Rakeysh Omprakash Mehra) ดารานำ คนสำคัญคือ อามีร์ ข่าน (Aamir Khan)

ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดเป็นภาพยนตร์ยอดฮิตเรื่องหนึ่งของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮินดีเลยก็ว่าได้ มีคนเคยถามผมว่า ทั้งชื่อเพลงและภาพยนตร์ “Rang De Basanti” แปลว่าอะไร ขออธิบายโดยสังเขปดังนี้ “Rang De Basanti” มาจากวลี "Mera Rang De Basanti Chola" แปลว่า "ย้อมเสื้อคลุมของฉันให้เป็นสี Basanti เถิด" ท่อนนี้มาจากเพลงรักชาติที่มีชื่อเสียงในอินเดีย ขับร้องโดยภคัต สิงห์ (Bhagat Singh) ในภาพยนตร์เรื่อง The Legend of Bhagat Singh ภคัต สิงห์คือนักต่อสู้เพื่ออิสรภาพชาวอินเดีย พร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน ถูกอังกฤษจับแขวนคอ ซึ่งรายการเราเคยพูดถึงทั้งสามคนแล้ว คราวนี้ที่ยังคาใจอย่างแน่นอนคือ สรุปสีพสันติ (Basanti) คือสีอะไรกันแน่ สีพสันติหมายถึงสีที่ออกเหลืองๆ ซึ่งมักจะใช้เป็นสัญลักษณ์เกี่ยวข้องกับความหาญกล้า ความเสียสละ และจิตวิญญาณแห่งอิสรภาพ เป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิตชีวาและความกล้าหาญของขบวนการเอกราชของอินเดีย คำว่า “Basanti” มาจากสันสกฤตคำว่า “วสันต์” (Vasant) แปลว่าฤดูใบไม้ผลิ ภาษาไทยเราก็ใช้ฤดูวสันต์หรือวสันตฤดู

75 ปีรัฐธรรมนูญอินเดีย : สดมภ์แห่งเอกภาพและความเจริญรุ่งเรือง (นาที 5.15)

หัวข้อรายการปกิณกะอินเดียวันนี้ มาจากชื่องานที่ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ ที่จัดไปเมื่อวันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2567

ทำไมเราต้องจัดงานนี้ในวันที่ 26 พฤศจิกายน ก็เพราะว่าวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1949 เป็นวันที่รัฐธรรมนูญอินเดียได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญอินเดีย ก่อนจะนำมาใช้ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1950 หากนับตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1949 จนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายนปีนี้ รัฐธรรมนูญอินเดียมีอายุครบ 75 ปี บริบูรณ์ นี่คือที่มาของชื่องาน ส่วนสร้อย “สดมภ์แห่งเอกภาพและความเจริญรุ่งเรือง” ก็เพราะว่ารัฐธรรมนูญอินเดียประสบความสำเร็จในการสร้างเอกภาพและความเจริญรุ่งเรืองแก่อินเดียอย่างมีนัยสำคัญ

เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจความสำคัญในการจัดงานครั้งนี้ หรือความสำคัญของรัฐธรรมนูญอินเดีย เราขอเล่าให้ฟังว่าแต่ละคนที่มางานได้กล่าวอะไรไว้บ้าง

เหตุที่ต้องใช้เนื้อหาจากการกล่าวของแต่ละคนในงานนี้ ก็เพราะว่าทุกคนทำการบ้านมาอย่างดี เตรียมมาอย่างดีเยี่ยม ฉะนั้นแล้วเราทั้งสองเชื่อว่าสาระจากคำกล่าวเหล่านี้จะทำให้ผู้ฟังได้ความรู้เรื่องรัฐธรรมนูญอินเดียได้ไม่น้อยเลย

รองศาสตราจารย์ ดร. ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ

สาระสำคัญของการกล่าวรายงานโดยอาจารย์ภาวิกามีดังนี้
(1) การจัดงานภายใต้โครงการว่าด้วยความเชื่อมโยง
(2) มูลเหตุเฉพาะเจาะจง 2 ข้อว่าด้วยการจัดงานรัฐธรรมนูญอินเดีย

(1) การจัดงานในครั้งนี้อยู่ภายใต้โครงการวิชาการว่าด้วยความเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียสู่สากล
เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีแห่งการสถาปนาสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเดือนพฤษภาคม 2568 สถาบันเอเชียศึกษาของเราจะมีอายุ 40 ปี จึงต้องการใช้โครงการนี้เพื่อรวบรวมและประมวลประสบการณ์ในด้านความเชี่ยวชาญเชิงอาณาบริเวณศึกษา และเชิงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคเอเชียในช่วงทศวรรษผ่านมา รวมทั้งสังเคราะห์องค์ความรู้และชุดข้อมูลในระดับท้องถิ่นที่เชื่อมโยงสู่ระดับสากลอันสอดคล้องกับประเด็นสังคมร่วมสมัย พร้อมด้วยบทบาทของภูมิภาคเอเชียในภูมิรัฐศาสตร์โลก ทั้งนี้ แก่นหลักสำคัญ คือ ความเชื่อมโยงในมิติที่หลากหลาย ซึ่งเป็นรากฐานคุณค่าเอเชีย และเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่ยกระดับความสำคัญของภูมิภาคเอเชียในอนาคต

ดังนั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าว สถาบันเอเชียศึกษาจึงวางแผนจัดชุดกิจกรรมทางวิชาการว่าด้วยความเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียสู่สากล จำนวน 12 ครั้ง ระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 ซึ่งกิจกรรมในแต่ละครั้ง ศูนย์วิจัยและกลุ่มงาน จำนวน 12 หน่วยงาน จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการดำเนินงานต่อไป

(2) มูลเหตุสำคัญที่ทำให้ศูนย์อินเดียศึกษาเลือกจัดกิจกรรม “75 ปี รัฐธรรมนูญอินเดีย : สดมภ์แห่งเอกภาพและความเจริญรุ่งเรือง” มี 2 ข้อด้วยกัน
ข้อแรก ศูนย์อินเดียศึกษาที่เชี่ยวชาญด้านอินเดียศึกษาในฐานะอาณาบริเวณศึกษานั้น ใคร่ที่จะเติมเต็มข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครองอินเดียให้สังคมไทย ซึ่งปฏิเสธมิได้ว่าความรู้ด้านการเมืองการปกครองจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อเราเข้าใจรัฐธรรมนูญอินเดียด้วย เพราะรัฐธรรมนูญอินเดียคือหนังสือเล่มสำคัญที่ผู้คนมากกว่า 1,450 ล้าน ไม่ว่าจะมีภูมิหลังที่แตกต่างกันอย่างไรนั้น ต่างยึดเหนี่ยวไว้อย่างแน่นแฟ้นรวมเป็นชาติเดียวกัน

ข้อสอง ต้องการแสดงความชื่นชมอินเดียจากใจ คือ การเดินทางของอินเดียในเวลา 75 ปี โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักเป็นแนวทาง นับเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ จากอดีตวันวานเมื่อ 75 ปีที่แล้ว ที่ชาวอินเดียเริ่มการสร้างชาติแบบแทบจะเริ่มใหม่หมด มาถึงวันนี้ที่อินเดียผงาดขึ้นมาโดดเด่นในหลายด้าน ไม่ว่าจะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การศึกษา เศรษฐกิจ และอื่น ๆ จนทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่สุดของโลก และมีขนาดเศรษฐกิจอันดับที่ 5 ของโลกในปัจจุบันนั้น เราในฐานะสถาบันที่เชี่ยวชาญเอเชีย จะเพิกเฉยต่อพัฒนาการ 75 ปีรัฐธรรมนูญอินเดียได้อย่างไร

ด้วยมูลเหตุข้อที่สอง งานในวันนั้นจึงประกอบด้วยการแสดงทางวัฒนธรรมของไทยโดยศิลปินชาวไทย วิทยากรในวันนี้ก็ล้วนแต่เป็นชาวไทย ทั้งหมดนี้ก็เพียงเพราะเราต้องการแสดงความชื่นชมและความยินดีต่อชาวอินเดียจากใจ ในวาระครบรอบ 75 ปีรัฐธรรมนูญอินเดียนี้

รองศาสตราจารย์ ดร.ปาลนี อัมรานนท์ รองอธิการบดี จุฬาฯ

ท่านรองอธิการบดีเกริ่นก่อนว่า ที่ตนได้มากล่าวต้อนรับทุกคนในวันนั้นก็มิได้แตกต่างจากบรรดาผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในอดีต นับตั้งแต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสถาปนาขึ้นในปี ค.ศ. 1917 ผู้บริหารทุกคนได้ต้อนรับทุกผู้ทุกคนทุกชนชาติมาโดยตลอด เพราะจุฬาฯ เชื่อมั่นหนักแน่นมาโดยตลอดว่า ความหลากหลายคือข้อเท็จจริง ความหลากหลายคือพลังแห่งเอกภาพ และความหลากหลายคือองค์ประกอบสำคัญที่เติมเต็มความรู้ของเราซึ่งกันและกัน

หลังจากนั้นท่านก็กล่าวต่อว่า ทันทีทันใดที่ท่านเห็นชื่องาน ก็อดมิได้ที่จะนึกถึงบุคคลสำคัญของอินเดียที่เคยมาเยือนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1927 บุคคลสำคัญท่านนั้นคือ ครุเทพ รพินทรนาถ ฐากูร ชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ท่านบอกต่อด้วยว่า ท่านฐากูรเน้นย้ำเรื่องเอกภาพเอเชียมากในเวลานั้น

ท่านเสริมว่า วันนี้อินเดียเดินทางมาไกลมากจริง ๆ จากอดีตที่ต้องจัดการบริหารแทบทุกสิ่งใหม่หมด จนมีสถานภาพยิ่งใหญ่ในเวลานี้ นับเป็นเรื่องน่าชื่นชมยิ่ง และดิฉันเชื่อมั่นด้วยว่าเอกภาพและความเจริญรุ่งเรืองของอินเดียอันเป็นผลผลิตสำคัญของรัฐธรรมนูญอินเดีย จะทำให้อินเดียมีบทบาทสำคัญมากในการสรรค์สร้างเอกภาพแห่งเอเชีย

ท่านรองอธิการบดีกล่าวว่า “ดิฉันเชื่อมั่นว่า สิ่งที่ฐากูรได้ฝากไว้ให้เราในวันนั้น เป็นจริงมากยิ่งขึ้นแล้ว และจะเป็นจริงยิ่งกว่านี้ เมื่อเราร่วมมือกันมากขึ้น วิธีหนึ่งที่เราจะสร้างความร่วมมือกันมากขึ้นได้ ควรมาจากความร่วมมือทางวัฒนธรรมและการศึกษาด้วย”

ท่านรองอธิการบดีพูดต่อด้วยว่า “ปีนี้น่าจะจัดได้ว่า เป็นปีทองคำแห่งความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราพิจารณาจาก 2 เหตุการณ์สำคัญ คือ

(1) รัฐบาลอินเดียได้ร่วมกับรัฐบาลไทยจัดพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะจากอินเดียมาไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ การที่มีผู้คนเข้าไปเยี่ยมสักการะมากมายเป็นพิเศษ ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่า อินเดียกับไทยมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นเพียงใด

(2) รัฐบาลอินเดียได้ประกาศภาษาอีกถึง 5 ภาษาให้เป็นภาษาคลาสสิกของประเทศ สองในห้าภาษานี้คือภาษาบาลีและภาษาปรากฤต นี่ย่อมหมายความว่า ในอนาคตเราจะเห็นทั้งพระภิกษุและนักวิชาการไทยที่เชี่ยวชาญภาษาหนึ่งใดหรือทั้งสองภาษานี้ทำงานร่วมกับผู้คนในแวดวงวิชาการของอินเดียด้วย สำหรับเรื่องราวดี ๆ ที่น่าชื่นใจทั้งสองเรื่องที่กล่าวมา ดิฉันขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณไปยังเอกอัครราชทูตอินเดีย ตลอดจนอธิบดีกรมเอเชียใต้ตะวันออกกลาง และแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ ที่มุ่งมั่นกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมาโดยตลอด

ทางฝ่ายจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็มีแผนเพิ่มเติมที่จะกระชับความสัมพันธ์กับอินเดียในด้านการศึกษา เมื่อมีความชัดเจนมากขึ้น เราจะรีบติดต่อผ่านทางเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย และอธิบดีกรมเอเชียใต้สืบไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองจะเอื้ออำนวยให้เรากระชับความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับอินเดีย

สุดท้ายท่านก็ขอขอบพระคุณทุกคนที่มาร่วมงานในวันนั้น และขอปิดท้ายด้วยสำนวนสันสกฤต วสุไธว กุฏุมฺพกมฺ [อ่านว่า วะ-สุ-ไท-วะ กุ-ตุม-พะ-กัม] อันมีความหมายดังที่ท่านอาจารย์กรุณาและเรืองอุไร กุศลาสัย ปูชนียบุคคลวงการอินเดียศึกษาไทย เคยแปลไว้อย่างสละสลวยว่า “โลกทั้งผองพี่น้องกัน”

หลังจากท่านรองอธิการบดีกล่าวเสร็จ ก็ตามด้วย การแสดง “ลำเพลินสราญใจไหสวรรค์” โดยเยาวชนจากสถาบันเยาวนาฏศิลป์ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าแสดงได้ดีมาก น่ารักมากเป็นพิเศษ

ตอนต่อไป เราจะพูดถึงปาฐกถาของอีก 4 คนสำคัญ

(1) นายนาเกช ซิงห์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย
(2) ดร.พูยา ทริปาทิ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดสมุทรปราการ
(3) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยณัฐ สร้อยคำ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ผู้ช่วยอธิการบดี และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาอินเดีย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
(4) ศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้แล้วยังมีการขับเสภาสดุดีรัฐธรรมนูญอินเดีย โดย นายณัฐ วัชรคิรินทร์ ด้วย

รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ