วันที่ 21 ธันวาคม 2567
เพลง Ektaal
ทุกคนคงจดจำได้ดีว่าเสียงดนตรีที่เราเปิดไปคือ เสียงของกลองตัพลา ซึ่งครั้งหนึ่งในรายการปกิณกะอินเดียเราเคยนำเสนอเรื่องราวของกลองชนิดนี้ไปแล้ว แต่เสียงบรรเลงตัพลาของเราในครั้งนี้มีนัยสำคัญพิเศษ กล่าวคือ เป็นเสียงบรรเลงที่อัดไว้ในปี ค.ศ. 1976 ในจังหวะที่ชื่อว่า “เอกตาล” (Ektaal) ซึ่งเป็นฝีมือการบรรเลงของ อุสตาด ซากีร์ ฮุสเซน (Ustad Zakir Hussain) ในวัยหนุ่ม คู่กับคุณพ่อของเขาเอง คืออุสตาด อัลลารขา กุเรชี (Ustad Allarakha Qureshi) สุดยอดนักตัพลาอีกคนในอดีตที่เคยบรรเลงร่วมกับบัณฑิตรวิ ศังกร (Pandit Ravi Shankar) มาแล้วอย่างโชกโชน
ที่บอกว่ามีนัยสำคัญก็เพราะว่า อัลลารขาเป็นทั้งคุณพ่อและอาจารย์คนแรกที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาตัพลาให้แก่ซากีร์ ฮุสเซน ครั้นเมื่อซากีร์ ฮุสเซนได้จากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา จัดว่าเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของวงการดนตรีอินเดีย เราจึงนำบันทึกเสียงที่ทั้งสองคนบรรเลงร่วมกันไว้ในอดีตมาเปิดให้ทุกคนฟัง เป็นการสื่อความหมายว่าตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนคงจะได้กลับมาบรรเลงตัพลาร่วมกัน ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งในสวนสวรรค์อยู่แน่ ๆ
ข่าวการจากไปของอุสตาดซากีร์ ฮุสเซน ทำให้วงการดนตรีทั่วโลกต่างก็อาลัยอาวรณ์อย่างยิ่ง เพราะกล่าวได้ว่าชื่อของเขาติดทำเนียบนักดนตรียิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของอินเดียและของโลก
เรียกว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักศิลปินตัพลาคนนี้ ทั้งอาจารย์สุรัตน์และผมเองต่างก็เคยได้รับฟังซากีร์ ฮุสเซนบรรเลงต่อหน้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ใช่แล้ว และถ้าจำไม่ผิด คือในช่วงเดือนกันยายนปี ค.ศ. 2016 หรือ พ.ศ. 2559 เมื่อซากีร์ ฮุสเซนมาแสดงที่โรงละครแห่งชาติ กรุงเทพฯ ในโอกาสรำลึกถึงศรี สัตคุรุ ชัคชิต สิงห์ ยี (Sri Satguru Jagjit Singh Ji) คุรุผู้เป็นที่เคารพของชาวซิกข์นามธารี
ประสบการณ์ในครั้งนั้นต้องบอกว่าน่าประทับใจและน่าทึ่งมาก โดยเฉพาะตัวผมเองที่ในตอนนั้นก็หัดเล่นตัพลาเบื้องต้นอยู่ด้วย ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าฝีมือของซากีร์ ฮุสเซนนั้นน่าอัศจรรย์จริง ๆ สมกับที่หลายคนเรียกเขาว่าพ่อมดแห่งตัพลา (Tabla Wizard) ไม่เพียงแต่การบรรเลงของเขาจะน่าทึ่ง เขายังมีเทคนิคแพรวพราวในการสร้างความบันเทิงให้ผู้ชม สามารถดึงดูดสายตาทุกคนในหอประชุมให้จ้องไปที่เขา และทำให้เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงกลองของเขาเหมือนต้องมนตร์สะกด ขณะเดียวกันที่ผมชอบเป็นพิเศษก็คือ แม้ซากีร์ ฮุสเซนจะเป็นมุสลิม แต่เขาก็เคารพให้เกียรติคุรุของชาวนามธารีอย่างมากด้วย
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2024 ครอบครัวของซากีร์ ฮุสเซนเผยว่านักตัพลาผู้ยิ่งใหญ่ได้ถึงแก่กรรมเนื่องจากภาวะพังผืดในปอด ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองซาน ฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สิริอายุ 73 ปี ก่อนหน้านั้นซากีร์ ฮุสเซนเกิดภาวะที่หายากชนิดหนึ่ง เรียกตามศัพท์แพทย์ว่า Idiopathic Pulmonary Fibrosis (IPF)
IPF อธิบายง่าย ๆ ก็คือเกิดแผลเป็นขึ้นในปอดโดยที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ซึ่งแผลเป็นดังกล่าวนี้จะทำให้ผนังปอดบางส่วนเกิดแข็งตัวทำให้ปอดขยายออกได้ไม่เต็มที่ นาน ๆ ไปก็ทำให้เกิดภาวะหายใจติดขัด เหนื่อยง่าย และในกรณีของซากีร์ ฮุสเซนได้พัฒนาจนเกิดเป็นพังผืด เขาพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลประมาณสองสัปดาห์ก่อนจะย้ายเข้าไปในห้องไอซียู และอาการทรุดหนักลงจนเสียชีวิต
ทันทีที่ได้ทราบเหตุดังกล่าว บุคคลในวงการบันเทิงก็ออกมาแสดงความเสียใจมากมาย และที่สำคัญ นายกรัฐมนตรีโมดีก็ได้ออกมาเขียนข้อความแสดงความอาลัยต่อซากีร์ ฮุสเซนด้วย ก่อนที่เราจะกล่าวถึงข้อความของนายกฯ โมดี บางท่านอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักซากีร์ ฮุสเซนนัก ดังนั้นเราจะขอนำเสนอประวัติย่อ ๆ ของเขาก่อน

ซากีร์ ฮุสเซน มีชื่อเต็มว่า ซากีร์ ฮุสเซน อัลลารขา กุเรชี (Zakir Hussain Allarakha Qureshi) เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1951 ในเมืองมุมไบ มลรัฐมหาราษฏระ อินเดีย
พ่อของเขาคือ อุสตาด อัลลารขา กุเรชี ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในนามนักตัพลาผู้บรรเลงคู่กับบัณฑิตรวิ ศังกร มือสิตาร์ชั้นครู ที่พวกเราเองก็เคยเสนอประวัติแยกไว้แล้วในตอนหนึ่ง อัลลารขาผู้พ่อมีบุตรชายสามคน บุตรสาวอีกสามคน ในหมู่บุตรชายทั้งสาม ซากีร์เป็นคนโต ส่วนน้องชายอีกสองคน ฟาซาลและเตาฟิก ซึ่งอายุห่างจากซากีร์ราวสิบปี ต่างก็เป็นนักบรรเลงตัพลากันทั้งคู่ แม้ว่าจะไม่ขึ้นถึงจุดสูงสุดแห่งชื่อเสียงเท่ากับพ่อหรือพี่ชายก็ตาม
อัลลารขาผู้พ่อก็มีประวัติชีวิตโชกโชนไม่น้อย ในวัยเด็กเขาไม่ได้รับการสนับสนุนด้านดนตรีจนกระทั่งต้องหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 12 ขวบ เพื่อที่จะมาตามหาฝันตัวเองในเส้นทางดนตรี และได้เริ่มศึกษากับครูตัพลาในสำนักปัญจาบ (Punjab Gharana) ในช่วงต้น ๆ อัลลารขาก็เป็นมือกลองตีประกอบจังหวะของบรรดาศิลปินเดี่ยวที่มีชื่อเสียงหลายคน ชื่อเสียงเขามาโด่งดังเป็นพลุแตกก็เมื่อยุคทศวรรษ 1950 ที่เขาได้เล่นร่วมกับรวิ ศังกร ในช่วงนั้นเองเป็นช่วงเดียวกับที่ซากีร์ ฮุสเซนเกิด
อัลลารขาได้สอนตัพลาให้ลูกชายตั้งแต่อายุ 7 ขวบ จนกระทั่งเมื่อเติบโตขึ้นเขาก็ได้พาลูกชายออกแสดงด้วยกัน
ในการสัมภาษณ์ซากีร์ ฮุสเซนกับอุสตาด อัลลารขาเมื่อปี ค.ศ. 1980 โดยบีบีซีอินเดีย ได้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์อันแนบแน่นของพ่อลูกคู่นี้ ทั้งในฐานะพ่อกับลูกและครูกับศิษย์
นักข่าวบีบีซีได้ถามเขาว่า “ซากีร์ คุณจำครั้งแรกที่ได้ยินเสียงตัพลาได้ไหม” ซากีร์ ฮุสเซนตอบว่า “จำไม่ได้ แต่ต้องเป็นทันทีที่ผมออกจากโรงพยาบาลมาบ้านหลังจากที่ผมเกิด น่าจะเป็นตอนที่ผมอายุเพียงวันเดียวหรือสองวันนั่นแหละ” นักข่าวถามอีกว่า “พวกคุณมีความสัมพันธ์สองชั้น เป็นทั้งพ่อกับลูกและครูกับศิษย์ ความสัมพันธ์ในลักษณะใดที่แนบแน่นกว่ากัน” ซากีร์ ฮุสเซนตอบว่า
“เพราะว่าพวกเรามีสายเลือดเดียวกันและมีอาชีพเดียวกัน ก็เลยยากที่จะพูด แต่ผมว่าผมคิดถึงเขาในฐานะครูมากกว่า เพราะครูคือทุกสิ่งในคนเดียว ครูเป็นทั้งพ่อและเป็นทั้งผู้ชี้นำ ครูแนะหนทางในทุกสิ่งที่เราทำ ทุกอย่างจึงรวมอยู่ในความเป็นครูหมด”
ในปี ค.ศ. 1973 ซากีร์ ฮุสเซนได้ร่วมงานกับจอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison) ศิลปินอังกฤษผู้เป็นมือกีตาร์นำของเดอะบีเทิลส์ (The Beatles) ในอัลบั้มชื่อ Living in the Material World และในปีเดียวกันกับจอห์น แฮนดี้ (john Handy) ศิลปินแนวอเมริกันแจ๊สในอัลบั้มชื่อ Hard Work จากนั้นมาเขาก็มีผลงานร่วมกับศิลปินอีกหลายคนในโลกตะวันตก
ในปี ค.ศ. 1973 นี่เองที่จอห์น แมคลาฟลิน นักกีตาร์ชาวอังกฤษ ได้ก่อตั้งวงดนตรีแนวผสมผสานระหว่างอเมริกัน-อินเดียภายใต้นามศักติ (Shakti) ร่วมกับนักดนตรีอินเดียสามคนคือ แอล. ศังกร (L. Shankar) มือไวโอลิน ซากีร์ ฮุสเซนแน่นอนว่ารับบทบาทมือกลอง และวิกกุ วินายกรัม มือตีหม้อ แบบที่อินเดียเรียกว่า ฆะฏัม (Ghatam) ซากีร์ ฮุสเซนกับพวกเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสมาชิกรุ่นบุกเบิกของวงศักติ ในเวลาต่อมาสมาชิกรุ่นเก่าก็ออกไปบ้าง และก็มีสมาชิกรุ่นใหม่เข้ามาร่วมตามกาลเวลาและยุคสมัย เดิมทีวงนี้เปิดตัวในนามว่า “ดุริยนันทสังคีต” มีลักษณะโดดเด่นที่ผสมผสานแนวทางของดนตรีอินเดียกับดนตรีแจ๊ส โดยที่ดนตรีอินเดียเองก็ยังมีลักษณะผสมของดนตรีฮินดูสตานีและกรรณาติกอยู่ด้วยกัน เพราะซากีร์ ฮุสเซนนั้นมาจากขนบดนตรีแบบอินเดียเหนือ ในขณะที่คนอื่นในวงคือแอล. ศังกรและวิกกุ วินายกรัมนั้นมาจากสายอินเดียใต้
ซากีร์ ฮุสเซนมีส่วนร่วมในการทำอัลบั้มอื่น ๆ กับศิลปินอีกหลายคนและหลายค่าย อัลบั้มเพลงสากลที่บรรเลงร่วมกับชาวตะวันตกเหล่านี้ นับว่ามีส่วนอย่างมากในการเปิดโลกดนตรีอินเดียแก่ชาวตะวันตกให้ได้รับรู้และรับฟังดนตรีอินเดียมากขึ้น จึงมักมีผู้พูดถึงซากีร์ ฮุสเซนในฐานะผู้ทำให้ดนตรีอินเดียแพร่หลายในโลกตะวันตกด้วย หนึ่งในอัลบั้มที่มีชื่อเสียงคือ Planet Drum (ค.ศ. 1991) ที่อำนวยการผลิตโดยมิกกี้ ฮาร์ท (Mickey Hart) ซึ่งมีแนวคิดในการรวบรวมเครื่องดนตรีประกอบจังหวะมาจากหลากหลายชาติ ทั้งซากีร์ ฮุสเซน และวิกกุ วินายกรัมก็ได้รับเชิญมาร่วมบรรเลงตัพลาและตีฆะฏัมในอัลบั้มนี้ด้วย และอัลบั้มดังกล่าวก็ได้รับรางวัลแกรมมี่ในปี ค.ศ. 1992
ซากีร์ ฮุสเซนได้ประพันธ์เพลงและเป็นที่ปรึกษาด้านดนตรีให้แก่ภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักเป็นระดับภาพยนตร์รางวัล นอกจากนี้ยังบรรเลงประกอบภาพยนตร์ ทั้งที่เป็นเฉพาะเสียงเพลงฉากหลัง หรือที่มีตัวเขาปรากฏในภาพยนตร์เองด้วยในบทบาทมือตัพลา ในปี ค.ศ. 2016 ซากีร์ ฮุสเซนเป็นหนึ่งในนักดนตรีหลายคนที่ได้รับเชิญจากประธานาธิบดีบารัก โอบามาเพื่อไปร่วมคอนเสิร์ตรวมดาวระดับโลก (All-Star Global Concert) ของวันแจ๊สสากลประจำปี ค.ศ. 2016 ที่ทำเนียบขาว
ต่อมา นัสรีน มุนนี กะบีร์ (Nasreen Munni Kabir) ได้รวบรวมบทสัมภาษณ์ซากีร์ ฮุสเซนจำนวน 15 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2016 ถึง 2017 ไว้ในหนังสือชื่อ Zakir Hussain: A Life in Music ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2018
หนังสือเล่มนี้พาผู้อ่านผ่านชีวิตของซากีร์ ฮุสเซนตั้งแต่วัยเยาว์ ช่วงเวลาหลายขวบปีแห่งการฝึกฝนอย่างเข้มข้น และการเติบโตในฐานะนักดนตรี หนังสือเล่มนี้ยังทำให้เราทราบด้วยว่า ชีวิตวัยเด็กของซากีร์ ฮุสเซนนั้นใช่ว่าจะสะดวกสบาย เขาให้สัมภาษณ์แก่นัสรีนเกี่ยวกับที่อยู่ของเขาที่อำเภอมหิม (Mahim) เมืองมุมไบ ไว้ว่า “ในช่วงสามปีครึ่งแรกของชีวิตผม เราต่างใช้ชีวิตอยู่ในห้องเดียวกัน ซึ่งไม่มีห้องน้ำ เราต้องใช้ห้องน้ำส่วนกลาง”
เกียรติประวัติของซากีร์ ฮุสเซนในช่วงชีวิตของเขานั้นมีมากมาย
เขาได้รับอิสริยาภรณ์ปัทมศรีในปี ค.ศ. 1988 ปัทมภูษัณในปี ค.ศ. 2002 และปัทมวิภูษัณในปี ค.ศ. 2024 นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลแกรมมี (Grammy Awards) ถึง 4 รางวัล ได้รับรางวัลสังคีตนาฏักอะคาเดมีในปี ค.ศ. 1990 ได้รับรางวัลNational Endowment for the Arts' National Heritage Fellowship ซึ่งเป็นรางวัลทรงเกียรติสูงสุดสำหรับศิลปินในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เช่นมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และมหาวิทยาลัยมุมไบ
และเมื่อทราบข่าวมรณกรรมของซากีร์ ฮุสเซน นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ก็ได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของปรมาจารย์ตัพลาในตำนานผู้นี้
โมดีเรียกเขาว่าเป็นปรมาจารย์ดนตรีคลาสสิกชื่อดังของอินเดียคนหนึ่งและมีส่วนอุทิศอันล้ำค่าต่อวงการดนตรีทั่วโลก ท่านเขียนถึงอุสตาดซากีร์ ฮุสเซนว่า “...อุสตาด ซากีร์ ฮุสเซนจะได้รับการจดจำในฐานะอัจฉริยะแท้จริงผู้ปฏิวัติวงการดนตรีคลาสสิกของอินเดีย มอบเสียงเพลงตัพลาให้แก่โลก และครองใจผู้คนนับล้านด้วยท่วงทำนองที่ไม่มีใครเทียบได้ เขาเป็นผู้มีส่วนในการผสมผสานประเพณีดนตรีคลาสสิกของอินเดียเข้ากับดนตรีระดับโลก จึงทำให้เขาสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการสร้างความเท่าเทียมทางวัฒนธรรมได้”
บุคลิกหนึ่งที่น่าจดจำของอุสตาด ซากีร์ ฮุสเซน คือ เขามีความอ่อนน้อมถ่อมตน และไม่เคยมองว่าตนอยู่ระดับเหนือคนอื่น ซ้ำยังยินดีที่จะเรียนรู้จากคนอื่น ดังที่เขาได้เรียนรู้มาตลอดชีวิตจากการทำงานกับผู้คนมากหน้าหลายตา
ซากีร์ ฮุสเซนเคยกล่าวไว้ว่า “ชั่วขณะที่คุณคิดว่าตนเองถึงระดับปรมาจารย์แล้ว ก็เท่ากับคุณกำลังวางตนเองให้ห่างเหินจากคนอื่น ๆ คุณจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของวง ไม่ใช่ครอบงำวง”
และในปีที่แล้วนี้เอง เขาได้กล่าวไว้ว่า “การเป็นนักเรียนและมีแรงผลักดันในการเรียนรู้ทำให้ผมก้าวต่อไป โอกาสที่จะได้รับแรงบันดาลใจจากนักดนตรีรุ่นเยาว์ช่วยให้ผมนำมาปรับปรุงตัวเองได้ อายุของผมไม่ได้ส่งผลต่อพลังและแรงขับเคลื่อนเลย”
•
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ