วันที่ 29 มีนาคม 2568
เพลงมหาจุฬาลงกรณ์
เหตุที่เลือกเปิดเพลงนี้เพราะวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีนี้ (พ.ศ. 2568) ครบ 108 ปี ซึ่งทางเอเชียหลายประเทศเรื่องเลข 108 สำคัญ เพราะครบ 9 รอบ
วันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปร่วมตักบาตรกับทีมงานของสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ นำโดย รองศาสตราจารย์ ดร.ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ อีกกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญคือ ได้มีโอกาสยืนท่ามกลางผู้คนจำนวนมากมายรับเสด็จฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มีโอกาสร่วมถวายพระพร ซึ่งเมื่อได้เห็นท่านก็รู้สึกชื่นใจ มีแรงทำงานกันต่อไป
ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงมหาจุฬาลงกรณ์ คือ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ผู้ประพันธ์เนื้อร้องมี 2 คน คือ ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา และนายสุภร ผลชีวิน
[ เนื่องจากเนื้อหาหลักของเราครั้งนี้เกี่ยวกับภารกิจที่อาจารย์สุรัตน์ได้ไปปฏิบัติมาโดยตรง ดังนั้นรายการจะเป็นลักษณะสัมภาษณ์ โดยผมจะเป็นผู้ถามให้อาจารย์ตอบ ก่อนอื่นช่วยบอกได้ไหมครับว่าภารกิจอะไร ]
วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2568 ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ นำทีมเดินทางเยือนมุมไบ ด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ นานา ถอดความออกมาเป็นภาษาที่เรียบง่ายได้ว่า การนำทีมเยือนจุฬาฯ ไปมุมไบครั้งนี้ก็เพื่อเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ และหากมีโอกาสก็จะได้ร่วมมือกับองค์การหรือหน่วยงานในอินเดีย
ก่อนอื่นใดเลยต้องเข้าใจก่อนว่า ท่านอธิการบดีให้ความสำคัญเรื่อง "Internationalization" มากเป็นพิเศษ ในที่นี้ผมขอแปล "Internationalization" เป็นภาษาไทยว่า "กระบวนการส่งเสริมให้มีความเป็นนานาชาติ" กระบวนการดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าจะมีแค่มุมไบหรือประเทศอินเดียเท่านั้น จริง ๆ แล้ว มีอีกหลายประเทศ ซึ่งท่านได้เริ่มกระบวนการไปแล้วและคงเหยียบคันเร่งเพิ่มเติม
กระบวนการส่งเสริมให้มีความเป็นนานาชาติสำคัญมากครับ ง่าย ๆ เลยคือ เราอยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะถ้าเราอยู่กันเองตามลำพัง เราก็จะเสียประโยชน์ เสียโอกาสที่จะเรียนรู้จากผู้อื่นด้วย
ลองจินตนาการดูว่า วันหนึ่งหากคุณณัฐอาศัยหรือใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง ไม่ข้องเกี่ยวกับใคร ชีวิตของคุณณัฐก็จะถูกขัดเกลาน้อยมาก แทบจะหาจุดอ้างอิงได้ยาก เราต้องดูคนอื่นเปรียบเสมือนกระจกส่องเราด้วย
ส่งผลต่อจุฬาฯ ทั้งหมดเลย เวลาดูไปที่มหาวิทยาลัยอย่างจุฬาฯ ง่าย ๆ อย่างสังเขปเลยคือ 1. การเรียนการสอน 2. วิจัย 3. เจ้าหน้าที่ ตรงนี้ขอขยายความแบบนี้
ข้อ 1 ว่าด้วยเรื่องการเรียนการสอน เราคงจะสอนนิสิตไทยแต่อย่างเดียวไม่ได้ เราจำเป็นต้องมีนิสิตต่างชาติเข้ามาเรียนกับเราด้วย ที่สำคัญคือ เวลาเรามีนิสิตต่างชาติมาเรียนกับเรา ผลดีที่ตามมาคือ นิสิตไทยจะได้รับประโยชน์ด้วย นอกจากนิสิตไทยจะได้ใช้ภาษาอังกฤษดีขึ้นแล้ว ก็จะได้เข้าใจวิถีคิดของต่างชาติด้วย แม้แต่อาจารย์ผู้สอนก็จะได้รับโอกาสด้วยเช่นกัน และเราก็ไม่ควรจำกัดการเรียนการสอนอยู่ที่อาจารย์ไทยแต่อย่างเดียวด้วย เพราะการมีอาจารย์ต่างชาติทำงานกับเรา ก็จะนำมาซึ่งกระบวนการขัดเกลาให้แก่เราด้วย
ข้อ 2 คือการวิจัย ตรงนี้สำคัญมาก หากอาจารย์ไม่ได้ทำวิจัยกับต่างชาติเลย คำถามวิจัย และคำตอบต่อคำถามวิจัยก็จะเป็นอะไรที่อาจจะมีความคับแคบ ไม่ได้สะท้อนความคิดที่โลกให้ความสนใจ
ข้อ 3 คือเรื่องเจ้าหน้าที่ คำตอบก็คือ เมื่อทุกอย่างขับเคลื่อนไปสู่ความเป็นนานาชาติมากขึ้น เจ้าหน้าที่ก็ต้องฝึกฝนที่จะใช้ภาษาอังกฤษ ฝึกฝนที่จะคิดเชิงนานาชาติมากขึ้น
ที่ผมตอบมาทั้ง 3 ข้อ เป็นเพียงคำตอบแบบง่าย จริง ๆ แล้วยังมีรายละเอียดอื่นอีกมากมาย
อินเดียเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล จะเลือกไปที่ใดก็หาองค์การที่สำคัญ ๆ ได้ทั้งนั้น แต่เนื่องจากเราต้องเลือกไปที่ใดที่หนึ่ง แล้วตักตวงประโยชน์ให้ได้มากสุด จึงต้องเลือกที่ใดที่หนึ่งออกมาให้ได้
ในกรณีนี้เราจึงเลือกมุมไบ นอกจากจะเป็นนครแห่งเศรษฐกิจที่สำคัญแล้ว ยังมีเรื่องการศึกษาที่ดีงาม ควรค่าแก่ความร่วมมือยิ่ง
ผมคิดว่าแต่ละสถานที่ที่ผมจะพรรณนาให้ฟังจะช่วยเติมเต็มคำตอบว่าทำไมเราเลือกไปมุมไบ
ไปทั้งหมด 6 แห่งในเวลา 3 วัน นับว่าเยอะมากเพราะมุมไบขึ้นชื่อเรื่องรถติดไม่น้อยเลยทีเดียว
ถูกต้องครับ นับว่าเยอะมาก นี่คือเหตุผลที่ทำให้เราไปถึงบางที่ช้าบ้าง แต่ก็ประสบความสำเร็จ
(1) Indian Institute of Technology Bombay
(2) University of Mumbai
(3) Tata Sustainability Group
(4) Tata Institute of Social Sciences
(5) Tata Consultancy Services
(6) Aditya Birla Group
ที่เรียงมานี้คือองค์การหรือสถาบันที่เราไปเยือนตามลำดับเวลา
นี่คือสถาบันที่ได้รับการจัดอันดับที่ 1 ของอินเดีย ตามมาตรวัดที่เราเรียกว่า QS Ranking ซึ่งเป็นมาตรวัดที่นิยมมากทั่วหน้าเลยก็ว่าได้
ITTB คือสถาบันการศึกษาที่เราเล็งไว้แต่เดิม เขาเคยส่งผู้บริหารระดับสูงของเขามาเยือนเราแล้ว ทว่าในช่วงเวลานั้นจุฬาฯ กำลังจะมีอธิการบดีคนใหม่ คือเปลี่ยนจาก ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ มาเป็น ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร ผมได้เข้าต้อนรับผู้บริหารของ ITTB ในเวลานั้น และแจ้งไปว่าเดี๋ยวรอให้มีอธิการบดีคนใหม่ก่อน เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน
ITTB มีอะไรโดดเด่นมากเป็นพิเศษ
ข้อแรก เขาเป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 1 ของอินเดีย ดังที่ได้กล่าวมา จุฬาฯ ก็อันดับที่ 1 ของไทย เขาเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยที่สอน หรือ “A Research University that Teaches” เราก็เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยที่สอนเช่นเดียวกัน
ข้อสอง เขามาเยือนเรา และนักวิจัยของเขาก็เคยมาทำวิจัยกับเราแต่ผ่านองค์การอื่น กล่าวอย่างเรียบง่ายคือ เห็นเขาอย่างละเอียดแล้ว คุณภาพนักวิจัยของเขาก็ไม่เบาเลยทีเดียว
ใคร่แจ้งให้ทราบด้วยว่า ITTB เป็นมหาวิทยาลัยที่รัฐบาลอินเดียให้เงินสนับสนุนเป็นรางวัลไม่น้อยเลย อีกไม่พอ ITTB ก็มีภาคเอกชนเข้ามาร่วมงานร่วมวิจัยเยอะมาก ทำให้เราเห็นเลยว่า เขาไม่ธรรมดา
เราคิดจะร่วมมือกับเขาเพิ่มเติมอย่างไร
ท่านอธิการบดี อาจารย์วิเลิศ ดำริมาว่าให้ทำข้อตกลงกับ ITTB ไหน ๆ นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ก็จะเดินทางมาไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำสูงสุดของบิมสเทคที่ไทยเป็นเจ้าภาพ พร้อมกับการเยือนที่เป็นระดับทวิภาคีด้วย ท่านอธิการบดีก็จะลงนามกับฝ่าย ITTB โดยมีนายกรัฐมนตรีอินเดีย และนายกรัฐมนตรีไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ยืนอยู่ด้านหลังหรือข้าง ๆ เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานที่ทำเนียบรัฐบาล
นั่นก็หมายความว่า เดินทางไปเยือนเมื่อวันที่ 20 มีนาคม และลงนามข้อตกลงวันที่ 3 เมษายนเลย
อาจารย์ใช้คำว่าข้อตกลง แต่ที่เคยได้ยินมาคือ MOU หรือ Memorandum of Understanding ซึ่งก็คือ บันทึกความเข้าใจ แต่อาจารย์กลับใช้คำว่าข้อตกลง
ใช่ครับ เพราะที่ท่านอธิการบดีจะลงนามกับ ITTB เป็นข้อตกลง ที่เราใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Agreement ทั้งหมดมี 2 ฉบับ ได้แก่
1. Agreement on Student Exchange between Chulalongkorn University, Thailand and Indian Institute of Technology Bombay, India หรือ ข้อตกลงเรื่องการแลกเปลี่ยนนิสิตนักศึกษา
2. Agreement on Academic and Research Activities between Chulalongkorn University, Thailand and Indian Institute of Technology Bombay, India หรือ ข้อตกลงเรื่องกิจกรรมทางวิชาการและวิจัย คือครบ 3 เรื่อง ว่าด้วยนิสิต การเรียนการสอน และวิจัย
ในมุมมองผม ข้อตกลงจริงจังมากกว่า MOU ที่สำคัญคือ การลงนามระดับมหาวิทยาลัยมีประโยชน์มาก ทุกหน่วยงานในจุฬาฯ สามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้อย่างแน่นอน
แต่ต้องแจ้งให้ทราบก่อนว่า หากจะมีข้อตกลงที่เฉพาะเจาะจงและมีเรื่องการเงินมาเกี่ยวข้องอีก ก็อาจจะต้องมีข้อตกลงระหว่างหน่วยงานที่เฉพาะเจาะจงอีกก็ได้ คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคณะและสถาบัน ซึ่งคณบดีและผู้อำนวยการสถาบันหลายคนก็เดินทางร่วมกัน
"มหาวิทยาลัยมุมไบ" เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่มาก สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอาณานิคม ปีที่ก่อตั้งคือ ค.ศ. 1857 ซึ่งเป็นปีที่สำคัญมากในประวัติศาสตร์อินเดีย
ตรงนี้คงต้องเสริมด้วยว่า ITTB ตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1958 หลังอินเดียได้รับเอกราชประมาณ 11 ปี
มหาวิทยาลัยมุมไบมีชื่อเสียงโด่งดังในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตั้ง ชื่อเสียงในด้านวิชาการ เรื่องที่ตั้งก็เป็นปัญหาอยู่ไม่น้อยคือตั้งอยู่ใจกลางเมืองมุมไบ มีอาคารรูปแบบตะวันตกที่สวยงามมาก ในขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็มีพื้นที่จำกัด ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องมี campus อื่น เพื่อรองรับนักศึกษาจำนวนมาก
เราจะร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไหม
เราอาจยังไม่มีข้อตกลงเช่นเดียวกับที่เรามีกับ ITTB แต่ก็อาจจะมีข้อตกลงที่เฉพาะเจาะจงระหว่างคณะหรือหน่วยงาน ที่ผมสังเกตเห็นคือ รองศาสตราจารย์ ดร.นพพล วิทย์วรพงศ์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์นั่งสนทนากับอาจารย์เศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมุมไบ ในขณะเดียวกัน รองศาสตราจารย์ ดร.ปกรณ์ ศิริประกอบ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ก็ถามคำถามสำหรับนิสิตระดับปริญญาโท หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นอกจากคณบดีทั้งสองคนจะมีข้อตกลงร่วมกับมหาวิทยาลัยมุมไบแล้ว อาจารย์ท่านอื่นที่ร่วมเดินทางคงคิดร่วมมือทำอะไรกับมหาวิทยาลัยมุมไบ
ใคร่แจ้งให้ท่านผู้ฟังทราบด้วยว่า ศิษย์เก่าคนสำคัญคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยมุมไบก็คือ ดร.ภีมราว รามยี อัมเบดการ์ บิดารัฐธรรมนูญอินเดีย
สถานที่สามที่เราไปเยือนอยู่ในเครือของทาทา บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกของอินเดีย ที่นี่เขาใช้ขื่อว่า Tata Sustainability Group แปลเป็นไทยคือ กลุ่มงานความยั่งยืนแห่งทาทา
ความโดดเด่นมากเป็นพิเศษของที่นี่คือ ความก้าวหน้าที่สำคัญเรื่องความยั่งยืน มิอาจปฏิเสธได้ว่า วันนี้ไม่มีใครหลีกเลี่ยงเรื่องความยั่งยืน หรือการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้แล้ว
ที่ Tata Sustainability Group หรือ TSG เขาผนวกรวมเรื่องของความรับผิดชอบของบรรษัท หรือ Corporate Social Responsibility หรือ CSR ไว้ด้วยกัน
ตรงนี้ไม่มีอะไรสับสนนะครับ สิ่งที่ทาทาเขาใคร่จะให้สังคมเข้าใจก็คือ เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของเครือธุรกิจทาทาและเรื่องความยั่งยืนนั้นแทบจะเป็นเรื่องเดียวกันเลยก็ว่าได้ แม้จะเขาจะจำแนก CSR กับ Sustainability ไว้คนละหมวด แต่ก็คละกันอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือกิจกรรมจำนวนไม่น้อยที่เขารับผิดชอบต่อสังคมคือกิจกรรมที่เขามองด้วยว่าเป็นความยั่งยืน
ขยายความเพิ่มเติมคือ นโยบายความยั่งยืนของกลุ่มทาทา ระบุไว้อย่างแจ่มแจ้งถึงวิธีที่ทาทาสร้างมูลค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว เขาคำนึงถึงการบูรณาการระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม เขามุ่งมั่นที่จะลดความเสี่ยงในอนาคตและเพิ่มโอกาสให้ผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฉะนั้นแล้ว นโยบายดังกล่าวยังครอบคลุมหลักการของการดูแลผลิตภัณฑ์โดยการปรับปรุงผลกระทบด้านสุขภาพ ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และสังคมของผลิตภัณฑ์และบริการตลอดวงจรชีวิต ที่ชัดมากคือทาทามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนระดับโลกในภาคธุรกิจในส่วนที่ตนดำเนินการ โดยจัดตั้งโครงสร้างการกำกับดูแลเพื่อดูแลความพยายามด้านความยั่งยืน กระบวนการกำกับดูแลภายใต้การดูแลของคณะกรรมการจะระบุปัญหาความยั่งยืนที่เกี่ยวข้องและพัฒนากลยุทธ์ความยั่งยืนที่ครอบคลุมพร้อมเป้าหมาย แผนปฏิบัติการบรรเทาและปรับตัว
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือแทบจะทำให้เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมกับเรื่องความยั่งยืนเป็นเรื่องเดียวกัน
ทางจุฬาฯ จะทำอะไรกับกลุ่มงานความยั่งยืนของทาทาไหม
ณ ขณะนี้ยังไม่เห็นข้อตกลงรูปธรรมอย่างแน่นอน แต่คำถามของท่านอธิการบดีและคณะที่ร่วมเดินทางนั้นมากมายเลยทีเดียว ที่ผมทราบก็คือ รองศาสตราจารย์ ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้เอ่ยปากเชิญทางกลุ่มยั่งยืนของทาทามาช่วยเรื่องหลักสูตรของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ถ้าผมจำผิดก็ขออภัยด้วย หลักสูตรที่ว่าน่าจะชื่อ นวัตกรรมและความยั่งยืน ในขณะเดียวกัน รองศาสตราจารย์ ดร.พันธวัศ สัมพันธ์พานิช ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน ก็ขอชวนกลุ่มงานความยั่งยืนของทาทาร่วมสัมมนาที่จุฬาฯ ด้วย เราคงเห็นอะไรเพิ่มเติมอีก
[ นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงอาจารย์อีกจำนวนหนึ่งที่ร่วมเดินทางและสนใจเรื่องความร่วมมือกับอินเดีย งั้นเราขอยกอีก 3 แห่งไปไว้ในตอนที่สอง วันนี้ต้องขอลาท่านผู้ฟังก่อนนะครับ ]
•
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio [29 มี.ค.68]
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ