อินทิรา คานธี หญิงเหล็กแห่งอินเดีย ตอนที่ 6
1,759 views
0
0
"ตอนที่ 6"

อินทิรา คานธี หญิงเหล็กแห่งอินเดีย ตอนที่ 6

Tere chehre se nazar nhi hatati (มิอาจลบเลือนภาพของเธอได้)
เพลงประกอบภาพยนตร์ Kabhie Kabhie (บางครั้งบางครา) ฉายในปี 1976 กำกับโดย Yash Chopra เพลงนี้ขับร้องโดย Kishore Kumar and Lata Mangeshkar

อินทิรา คานธี บนเส้นทางนายกรัฐมนตรีของอินเดีย

มีนาคมปี 1967 อินทิราชนะเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง แม้พรรคคองเกรสจะสูญเสียคะแนนเสียง แต่เธอพอใจกับชัยชนะนี้ เธอค่อนข้างมั่นใจว่าพลังประชาชนนี่แหละที่จะเป็นเครื่องมือขจัดคนที่ขวางทางเธอในพรรค เธอเลือกคนที่สวามิภักดิ์ต่อเธอดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง

ปี 1967 เริ่มเปิดศึกกับกลุ่มที่ต่อต้านเธอมาตลอด เมื่อสภาต้องเสนอชื่อประธานาธิบดีหลังจาก สรเวปัลลิ ราธากฤษณัน กำลังจะหมดวาระ กลุ่มที่คัดค้านเธอต้องการให้ราธากฤษณันเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง แต่อินทิราต้องการให้นักการศึกษาชาวมุสลิมชื่อ ดร. ซากีร์ ฮุสเซน เป็นประธานาธิบดี เธอมิได้รังเกียจราธากฤษณัน แต่เนื่องจากเขามักทำตัวคล้ายครูสอนเธอในเรื่องต่างๆ อินทิราจึงไม่ประสงค์จะมีประธานาธิบดีที่ทำตัวเป็นครูท่ามกลางความไร้เสถียรภาพของเธอและอินเดีย เธอประสงค์จะมีประธานาธิบดีที่เธอควบคุมได้

แล้วเธอก็ทำสำเร็จโดยใช้ประเด็นฆราวาสนิยมโจมตีฝ่ายที่ต่อต้านการที่เธอสนับสนุนฮุสเซน ครั้นเมื่อประธานาธิบดีฮุสเซนถึงแก่อสัญกรรม เธอเลือกสนับสนุน วี.วี. คีรี แทนเอ็น. สัญชีวะ เรดดี เพราะบุคคลหลังคือคนที่กลุ่มเห็นต่างจากเธอสนับสนุน เธอเริ่มขจัดคนที่เห็นค้านเธอไปทีละคนสองคน หนึ่งในนั้นคือ โมราร์จี เดซาย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลของเธอ การกดดันของเธอทำให้เดซายลาออกจากตำแหน่งในปี 1969

ณ บัดนี้ นักการเมืองหลายคนที่เคยปรามาสเธอเป็นตุ๊กตาโง่หรือเด็กสาวนั้น ล้วนตระหนักแล้วว่าเป็นความเพ้อเจ้อที่พวกเขาสร้างกันขึ้นมาเองทั้งสิ้น

ในเวลาเดียวกัน อินทิรามุ่งสู่นโยบายสังคมนิยมหรือประชานิยม ที่ชัดเจนมากคือการนำธนาคารพาณิชย์ 14 แห่งมาเป็นของรัฐในปี 1969 เธอมองออกแล้วว่า หากธนาคารจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชนบท เป็นเรื่องจำเป็นที่เธอจะต้องควบคุมธนาคารให้ได้ ในเวลาเดียวกันย่อมหมายถึงการตัดท่อน้ำเลี้ยงของนักการเมืองที่เธอเห็นเป็นอุปสรรคบั่นทอนการดำรงตำแหน่งของเธอด้วย ผลที่ตามมาคือ พรรคสวตันตระ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักของรัฐบาลเธอหลังจากปี 1967 เป็นต้นมาต้องพังทลายเมื่อขาดแหล่งทุน ในขณะที่กลุ่มต่อต้านภายในพรรคและนักธุรกิจจำนวนหนึ่งก็ยอมสยบเธอบ้าง

สโลแกน Garibi Hatao (ขจัดความจน)

การเลือกตั้งปี 1971 เธอลงเลือกตั้งด้วยสโลแกน Garibi Hatao (ขจัดความจน) ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านเธอประสงค์ที่จะ Indira Hatao (ขจัดอินทิรา) ชัยชนะที่เธอได้รับอย่างถล่มทลายทำให้เธออยู่เหนือพรรคในฐานะผู้นำแห่งชาติ แลดูคล้ายผู้นำในระบบประธานาธิบดีมากกว่าผู้นำในระบบรัฐสภาแบบสหพันธรัฐนิยม แม้การแก้ปัญหาความยากจนจะมีผลน้อยมาก แต่ในช่วงแรกประชาชนกลับมองเธอเสมือนพระแม่ทุรคามาโปรด คนจนจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการธนาคารและไม่เคยเข้าธนาคารแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิตเคารพรักเธอมาก พวกเขามองว่าสิ่งที่เธอได้กระทำนั้นเป็นสิ่งดีสำหรับคนจน ในขณะที่คนรวยกำลังได้รับบทเรียนอย่างสาสมเป็นครั้งแรก

ด้านการต่างประเทศ

ปี 1971 ถือเป็นปีที่อินเดียต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก สหรัฐฯ ที่นำโดยประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน และที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เฮนรี คิสซินเจอร์ ประสงค์จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ เพราะเห็นแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างโซเวียตกับจีนกำลังย่ำแย่ บุคคลที่สหรัฐฯ ใช้เพื่อเปิดทางการสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนคือ ยะห์ยา ข่าน ผู้นำปากีสถานตะวันตก อินเดียรู้สึกหนักใจมากเพราะทั้งจีนทั้งปากีสถานคือประเทศศัตรู ทั้งคู่เคยรบกับอินเดียมาแล้ว และในสงครามระหว่างจีนกับอินเดียในปี 1962 ยวาฮัรลาลถึงกับต้องขอความช่วยเหลือจากประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีแห่งสหรัฐฯ เพราะโซเวียตเห็นภาพใหญ่ของสงครามเย็นที่สัมพันธ์กับวิกฤตการณ์คิวบาสำคัญกว่าประเด็นอินเดีย ทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างโซเวียตกับอินเดียกำลังแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ เคนเนดีได้แสดงความเห็นใจโดยสั่งเรือบรรทุกเครื่องบิน ยู. เอส. เอส. เอนเตอร์ไพรส์ ให้ไปช่วยอินเดีย แต่เพิกถอนคำสั่งในวันต่อมาเพราะจีนประกาศหยุดยิง แม้สงครามดังกล่าวจะจบลงในระยะเวลาค่อนข้างสั้น แต่ก็มีผลทางจิตวิทยาอันรุนแรงต่อสถานภาพของยวาฮัรลาลและอินเดียในเวทีโลก

สหรัฐฯ ตอบแทนข่านโดยยกเลิกการคว่ำบาตรทางอาวุธต่อปากีสถาน และสนับสนุนข่านในการปราบปรามชาวปากีสถานตะวันออก ซึ่งล้วนเพิกเฉยต่อรายงานเกี่ยวกับความโหดร้ายที่เขียนขึ้นโดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ประจำการในปากีสถานตะวันออก การปราบปรามของข่าน นอกจากทำให้ชาวปากีสถานตะวันออกจำนวนมากต้องเสียชีวิต สตรีอีกจำนวนมากถูกทำร้ายข่มขืนแล้ว ยังทำให้ชาวปากีสถานตะวันออกต้องหนีไปพึ่งใบบุญอินเดียมากถึง 10 ล้านคน อินทิราจำเป็นต้องสร้างนโยบายเพื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์นี้ เธอพยายามป่าวประกาศเรื่องนี้ให้โลกรู้ และพยายามแก้ปัญหานี้อย่างสร้างสรรค์ที่สุด

เมื่อเธอเห็นแล้วว่า สหรัฐฯ และจีนสนับสนุนปากีสถานอย่างค่อนข้างหนักแน่น ซึ่งคงไม่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางอื่นได้ เธอจึงตัดสินใจลงนาม “สนธิสัญญาสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือ” กับโซเวียตในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1971 เพื่อเป็นประกันว่าตนจะมีพันธมิตรคอยช่วยเหลือหากจีนหรือสหรัฐฯ คิดโจมตีอินเดีย และแล้วเธอก็อนุญาตให้อวามีลีกแห่งปากีสถานตะวันออกที่ประสงค์จะปลดแอกตนจากปากีสถานตะวันตกจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในกัลกัตตา (โกลกาตา) พร้อมกับอนุญาตให้อวามีลีกจัดตั้งกองกำลังมุกติบาหินี โดยมีทหารอินเดียคอยให้ความช่วยเหลือ

ขณะเดียวกัน อินทิราเริ่มรณรงค์ทางการทูตเพื่อหล่อหลอมทัศนะของประชาคมโลกว่าทั้งหมดนี้คือวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่ส่งผลต่ออินเดีย ต้นเดือนพฤศจิกายน ปี 1971 อินทิราเดินทางเยือนนิกสันที่เป็นปรปักษ์และวิงวอนต่อสาธารณชนอเมริกันข้ามหัวนิกสันในเรื่องนี้ ซึ่งสภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้รีบจัดหางบช่วยเหลือผู้ลี้ภัยนี้บ้าง อินทิรารู้แล้วว่าคงไม่มีรัฐบาลใดที่จะแม้เพียงประณามการกระทำของปากีสถาน นี่ย่อมหมายความว่าภาระวิกฤตการณ์ปากีสถานตะวันออกเป็นสิ่งที่อินเดียต้องแบกรับแต่เพียงผู้เดียว

ภาวะตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถาน

3 ธันวาคม ค.ศ. 1971 ภาวะตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถานเริ่มหนักขึ้น เมื่อปากีสถานเริ่มโจมตีฐานที่ตั้งของมุกติบาหินีในอินเดียและบางหมู่บ้านของอินเดียด้วยปืนใหญ่ พร้อมกับระเบิดลานบินในปัญจาบ วันถัดมาอินทิรา “นักการเมืองผู้แกร่งกล้า” ประกาศสงครามกับปากีสถาน ทหารอินเดียใช้เวลาเพียง 12 วันบุกยึดกรุงธากา นายทหารอินเดียระดับผู้บังคับบัญชาเป็นผู้รับการจำนนของกองกำลังทหารปากีสถานมากกว่า 9 หมื่นนาย เมื่อชนะแล้ว อินทิรารีบประกาศหยุดยิงทันที เพื่อให้ประชาคมโลกเห็นว่าการใช้กำลังของอินเดียเป็นไปเพื่อความมั่นคงแห่งชาติของอินเดียเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่าอินเดียจำเป็นต้องปกป้องตนเองจากการรุกรานเข้ามาของผู้ลี้ภัยชาวปากีสถานตะวันออกที่นำมาสู่ภาวะตึงเครียดทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมหันต์ การให้เหตุผลเช่นนี้ย่อมหมายความด้วยว่า อินทิราต้องการให้วิกฤตการณ์นี้เป็นเรื่องภายในของภูมิภาคเอเชียใต้ แต่หากจีนกับสหรัฐฯ คิดโจมตีอินเดีย เธอก็มีโซเวียตคอยหนุนอยู่ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่อินทิราวางไว้ เรือบรรทุกเครื่องบิน ยู. เอส. เอส. เอนเตอร์ไพรส์ ที่เคนเนดีเคยส่งมาช่วยพ่อเธอสู้กับจีนเมื่อ 9 ปีก่อน มาบัดนี้แม้จะจอดรออยู่ในอ่าวเบงกอลเพื่อช่วยปากีสถานก็มิได้โจมตีอินเดีย เช่นเดียวกันจีนก็ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

ชัยชนะเหนือปากีสถาน ทำให้อินเดียมีสถานภาพอันน่าเกรงขามในเอเชียใต้

ชัยชนะเหนือปากีสถานของอินทิรา นอกจากจะทำให้ปากีสถานตะวันออกสถาปนาตนเป็นบังคลาเทศแล้ว ยังทำให้อินเดียกลับมามีสถานภาพอันน่าเกรงขามในเอเชียใต้ด้วย ต่อแต่นี้ไป อินทิราจะสำแดงความเป็นเจ้าในภูมิภาคนี้

ในศรีลังกาเธอร่วมมือกับผู้นำศรีลังกาปราบปรามกลุ่มซ้ายจัด และร่วมมือกับศรีลังกาในการประกาศให้คาบสมุทรอินเดียเป็นเขตสันติภาพปลอดกองกำลังนาวีของชาติมหาอำนาจ แม้เธอพยายามหาข้อตกลงระหว่างรัฐบาลศรีลังกากับพยัคฆ์ทมิฬ แต่เธอก็เพิกเฉยต่อการฝึกพยัคฆ์ทมิฬและการติดอาวุธให้พยัคฆ์ทมิฬในอินเดียตอนใต้ ในทางตอนเหนือของเอเชียใต้ เมื่อสถาบันกษัตริย์ของเนปาลเริ่มรู้สึกรำคาญการพึ่งพาอินเดียด้านความมั่นคง เพราะมีแรงกดดันจากจีนด้วย อินเดียก็กดดันสำนักพระราชวังเนปาลให้ดำเนินการตามแบบของอินเดีย เมื่ออินทิราหมดความอดทนกับสิกขิม ราชอาณาจักรในอารักขาของอินเดีย ในหลายเรื่องโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับปัญหาชาติพันธุ์และความสัมพันธ์กับอินเดีย

ปี 1974-1975 เธอจึงผนวกสิกขิมเป็นรัฐที่ 22 ของอินเดีย ทุกวันนี้ชาวเนปาลหลายคนยังกังวลอยู่ว่า อาจจะถูกอินเดียผนวกเข้าเป็นอีกรัฐหนึ่งของอินเดียก็ได้ ดังวลี Sikkimization of Nepal สำหรับภูฏานที่ติดกับจีนและไม่มีทางออกทะเลเช่นเดียวกับเนปาลและสิกขิม อินทิราดำเนินความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องและสนับสนุนให้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เพราะภูฏานมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับอินเดีย

อินเดียไม่เห็นด้วยกับสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์

ปี 1974 อินทิราตอบโต้สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ด้วยการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ อินเดียซึ่งไม่เคยลงนามด้วยมองว่าสนธิสัญญาดังกล่าวเลือกปฏิบัติ อนุญาตให้ 5 ประเทศ (สหรัฐฯ โซเวียต อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน) มีอาวุธนิวเคลียร์อย่างชอบธรรม ในขณะที่กีดกันมิให้ที่เหลือโดยเฉพาะอินเดียครอบครองอาวุธนิวเคลียร์

การดำเนินการต่างประเทศของอินทิราเป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนไม่น้อย

โดยเฉพาะในปี 1971 เมื่อเธอเอาชนะปากีสถานได้อย่างเด็ดขาด การครอบงำในเอเชียใต้ของอินทิราประสบความสำเร็จในระดับสำคัญ แม้จะมีปากีสถานคอยท้าทายอยู่เป็นระยะๆ

"ลัทธิอินทิรา" ที่เลียนแบบ "ลัทธิมอนโร" ของสหรัฐฯ หมายความอย่างสั้นๆ ว่า อำนาจจากภายนอกอย่าแหยมเข้ามาในเอเชียใต้หรือมหาสมุทรอินเดียเด็ดขาด นี่คือเหตุผลสำคัญด้วยว่าทำไมอินเดียในปัจจุบันจึงมองนโยบาย "One Belt One Road" ของจีนด้วยความคลางแคลงใจ โดยเฉพาะเส้นทางจากจีนผ่านปากีสถาน

รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย