คดีอโยธยาแห่งอินเดีย
Tu Hindu Banega Na Musalman (เจ้าจะไม่เป็นฮินดูหรือมุสลิม)
เพลงประกอบภาพยนตร์ Dhool Ka Phool (ลูกที่มิชอบด้วยกฎหมาย) ฉายในปี 1959 ผลิตโดย B.R. Chopra กำกับโดย Yash Chopra เพลงนี้ขับร้องโดย Mohamad Rafi
คดีอโยธยาแห่งอินเดีย
Tu Hindu Banega Na Musalman (เจ้าจะไม่เป็นฮินดูหรือมุสลิม)
เพลงประกอบภาพยนตร์ Dhool Ka Phool (ลูกที่มิชอบด้วยกฎหมาย) ฉายในปี 1959 ผลิตโดย B.R. Chopra กำกับโดย Yash Chopra เพลงนี้ขับร้องโดย Mohamad Rafi
วันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 ศาลสูงสุดแห่งอินเดียได้ตัดสินคดีสำคัญที่สุดคดีหนึ่งคือ คดีอโยธยา โดยรวมแล้ว คดีนี้ต่อสู้ระหว่างฮินดูกับมุสลิมเรื่องสุเหร่าบาบรี ฝ่ายฮินดูบอกว่านี่คือสถานที่เกิดของพระราม ฝ่ายมุสลิมบอกว่านี่คือสุเหร่าที่มีมานมนาน
1. การทำลายมัสยิดบาบรีในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1992 ถือเป็นความผิด เป็นการละเมิดกฎหมายอย่างร้ายแรง
2. มีหลักฐานชัดเจน บ่งบอกถึงการประกอบพิธีทางศาสนาของชาวฮินดู ทั้งในและรอบอาคารอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด นับตั้งแต่มีการสร้างกำแพงในปี 1857
3. มีหลักฐานเชื่อได้ว่า ชาวฮินดูได้ประกอบพิธีทางศาสนาภายในอาคารก่อนปี 1857 ในขณะที่ฝ่ายมุสลิมไม่มีหลักฐานใดๆ ของตนในประเด็นนี้
4. แม้ฝ่ายมุสลิมจะไม่มีหลักฐานเท่าฝ่ายฮินดู และจำต้องตัดสินคดีตามหลักฐานที่มีอยู่ แต่มุสลิมก็เคยใช้พื้นที่นี้ประกอบพิธีทางศาสนาของตน ดังนั้นจึงเห็นควรให้ความยุติธรรมแก่ชาวมุสลิมด้วย เพื่อความปรองดองและสันติภาพ มติเป็นเอกฉันท์ให้ยกพื้นที่พิพาทดังกล่าวให้มูลนิธิฮินดู (2 กลุ่ม) และมีคำสั่งให้รัฐจัดหาพื้นที่ประมาณ 12.5 ไร่ ให้มุสลิมเพื่อสร้างสุเหร่า
1. รัญชัน โคโคอี (Ranjan Gogoi)
2. เอส.เอ. โบบเด (S.A. Bobde)
3. อโศก ภูษัณ (Ashok Bhushan)
4. ดี.วาย. จันทระจูฬ (D.Y. Chandrachud)
5. อับดุล นะซีร (Abdul Nazeer)
ทำให้บางคนรู้สึกไม่พอใจ และกล่าวหาว่า ศาลสูงสุดแห่งอินเดียตัดสินเข้าข้างฮินดูที่ประกอบเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของอินเดีย สืบเนื่องจากรัฐบาลนี้ตั้งโดยพรรคภารตียาชนตา พรรคชาตินิยมฮินดู การกล่าวหานี้เลยแลดูจริงจังไม่น้อยเลย ยิ่งไปดูบรรยากาศชาตินิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมืองวัว/เนื้อวัว การจลาจลในรัฐคุชราตในปี 2002 สมัยที่นายนเรนดรา โมดี เป็นมุขมนตรี การยกเลิกมาตรา 370 ในเรื่องแคชเมียร์ ยิ่งทำให้หลายคนมองว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นการเข้าข้างฮินดู แต่ความจริงเป็นเช่นคำกล่าวหาหรือไม่ ลองไปดูรายละเอียดกัน
• เอกสารที่ศาลสูงสุดแห่งอินเดีย (Supreme Court of India) ออกไว้ประกอบคำพิพากษามีทั้งหมด 116 หน้า (เอกสารหลักฐาน คำให้การ และอื่นๆ รวมทั้งหมด 1,045 หน้า)
• ศาลสูงสุดแห่งอินเดียจักต้องปกป้องความสมดุลที่ศรัทธาความเชื่อของบุคคลหนึ่งจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับ หรือมีอำนาจเหนือเสรีภาพหรือศรัทธาของผู้อื่น
• ทั้งสองฝ่ายยอมรับโดยปราศจากข้อโต้แย้งว่า พื้นที่ดังกล่าวได้รับการบันทึกไว้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ต้องเป็นของรัฐ (Nazul/Nazool land)
• ศาลสูงสุดแห่งอินเดียไม่สนใจว่าศาสนามีจริงหรือไม่ ฮินดูหรืออิสลามคืออะไร หรือแต่ละศาสนาควรมีทฤษฎีเทววิทยารองรับมากน้อยเพียงใด สิ่งเหล่านี้หาใช่สิ่งที่ศาลสูงสุดแห่งอินเดียได้นำมาพิจารณาไม่ ทว่าสิ่งที่ศาลสูงสุดแห่งอินเดียนำมาพิจารณาอย่างจริงจังคือ ผู้คนที่เชื่อและสักการะบูชามีศรัทธาในสมรรถภาพ (efficacy) ของสถานที่ที่ตนประกอบพิธีทางศาสนา (place of worship) หรือไม่ ไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดในคำพิพากษา 116 หน้า จึงปรากฏคำว่า "รัฐบัญญัติสถานที่สักการะ ปี 1991" (The Places of Worship Act, 1991) ถึง 16 ครั้ง และคำว่า "สถานที่สักการะ" (place of worship) ถึง 73 ครั้ง
• รัฐบัญญัติสถานที่สักการะเริ่มเป็นกฎหมายบังคับใช้ในวันที่ 18 กันยายน 1991 มีไว้เพื่อปกป้องหลักพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ เพื่อรับประกันว่าทุกศาสนาต้องได้รับการปกป้องอย่างเสมอภาค
• ภายใต้รัฐบัญญัติดังกล่าว การยอมรับว่าสถานที่ดังกล่าวเป็น “สถานที่ประสูติของพระราม” (Asthan Sri Ram Janam Bhumi) ทำให้การกล่าวอ้างของอีกฝ่ายหนึ่งว่ามีกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่หมดสภาพลงทันที กล่าวอีกนัยคือ ในทางกฎหมายจะกล่าวอ้างไม่ได้อีกต่อไป แต่ในทางศรัทธาความเชื่อนั้น ย่อมไม่มีใครห้ามผู้ใดคิดหรือแสดงความเห็นได้
• ศาลสูงสุดแห่งอินเดียมิอาจตัดสินด้วยฐานความคิดว่าศาสนาใดมีฐานผู้สนับสนุนแกร่งกว่ากันหรือมากกว่ากันได้
• สิ่งที่ฝ่ายฮินดูทำได้ชัดเจนคือ สิทธิที่ตนเรียกร้องเป็นสิทธิของ “สาธารณะฮินดู” (Hindu public) ที่จะสักการะบูชาในพื้นที่พิพาทโดยปราศจากการแทรกแซง
• อีกฝ่ายหนึ่งมิได้ท้าทายความเป็นนิติบุคคลของฝ่ายฮินดูในการกล่าวอ้างสิทธิข้อนี้
• หลักฐานของ Archaeological Survey of India (ASI) องค์กรที่มีอำนาจสูงสุดในข้อมูลโบราณคดี มิอาจช่วยศาลสูงสุดแห่งอินเดียในการพิจารณาคดีได้ เพราะ ASI รายงานให้ทราบว่า บาบรีมัสยิดสร้างถมทับพื้นที่ว่างเปล่า ใต้มัสยิดนี้มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่มิใช่รูปแบบอิสลามฝังอยู่ ASI เสริมด้วยว่า "ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างทางศาสนาโบราณใต้ตึก [บาบรีมัสยิด] นี้ มิได้บ่งบอกว่า สิ่งก่อสร้างเดิมถูกทำลายโดยอำนาจที่ไม่เป็นมิตร" ดังนั้นศาลสูงสุดแห่งอินเดียจึงมิอาจใช้การค้นพบของ ASI เป็นหลักฐานในการตัดสินคดีได้ทั้งหมด
• ศาลสูงสุดแห่งอินเดียฟังพยานทั้งสองฝ่าย ทั้งพยานฮินดูและมุสลิมเห็นพ้องต้องกันว่า ทั้งฮินดูและมุสลิมใช้พื้นที่พิพาทดังกล่าวประกอบศาสนกิจของตน พยานมุสลิมยืนกรานว่า พื้นที่พิพาทคือบาบรีมัสยิด ในขณะที่พยานฮินดูยืนกรานว่า นี่คือสถานที่ประสูติของพระราม ในการซักถามพยาน สิ่งที่ศาสสูงสุดแห่งอินเดียต้องการทราบคือ ฮินดูมีความเชื่อแบบนี้หรือไม่ หลังจากซักถามไปมา ทำให้ศาลสูงสุดแห่งอินเดียมั่นใจว่า ชาวฮินดูที่ใช้พื้นที่ดังกล่าวเชื่อแบบนี้มาโดยตลอด และศาลสูงสุดแห่งอินเดียเชื่อด้วยว่า ชาวฮินดูเหล่านี้เชื่อว่าด้านในคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ (Inner Sanctum) หรือครรภคฤห์ (Garbh Grih)
• นอกจากนี้ศาลสูงสุดแห่งอินเดียยังใช้วรรณกรรมประเภทต่างๆ ในการพิจารณาคดีอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะของโยเซฟ ทีเฟนท์ฮาเลอร์ (Joseph Tiefenthaler) และ มอนต์โกเมอรี มาร์ติน (Montgomery Martin) ในศตวรรษที่ 18 และสรุปว่า
1. ความเชื่อของศาสนาฮินดูว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นที่ประสูติของพระรามนั้น มีอยู่จริง
2. มีจุดต่างๆ จำแนกเพื่อให้ชาวฮินดูสักการะบูชา จุดเหล่านี้รวมถึง สีตารโสอี (Sita Rasoi) สวรรคทวาร (Swargdwar) และ เพที (Bedi) บ่งบอกถึงความเชื่อที่ว่าภายในและบริเวณรอบสถานที่ดังกล่าวเป็นที่ประสูติของพระราม
• การปฏิบัติบูชาอันแพร่หลายในหมู่ผู้แสวงบุญในพื้นที่พิพาทดังกล่าวรวมถึง "circumambulation" หรือ ปริกรม (parikrama) และการรวมตัวของผู้นับถือศาสนาฮินดูในวาระเทศกาลทางศาสนาต่างๆ
• ศาลสูงสุดแห่งอินเดียได้ใช้หลักฐานดังกล่าว คือมีผู้สักการะบูชาเกิดขึ้นจริง และการสักการะบูชาเกิดขึ้นในพื้นที่ก่อนอังกฤษจะสร้างกำแพงแยกในปี 1857
• ฝ่ายมุสลิมที่ขอให้ประกาศพื้นที่พิพาทดังกล่าวเป็นมัสยิดและสุสานกล่าวมาโดยตลอดว่า พื้นที่พิพาทดังกล่าวเพิ่งจะเปลี่ยนไปก็เมื่อมีชาวฮินดูนำรูปปั้นของพระรามมาวางไว้ในวันที่ 22-23 ธันวาคม ปี 1949 นอกจากนี้ยังให้เหตุผลว่า มุสลิมได้ใช้มัสยิดนี้เพื่อประกอบพิธีทางศาสนานับตั้งแต่มัสยิดนี้เกิดขึ้น และการใช้ดังกล่าวนอกจากจะต่อเนื่องแล้ว ยังเป็นไปในลักษณะเฉพาะสำหรับมุสลิมเท่านั้น (exclusive) ทว่าการกล่าวอ้างในประเด็นนี้ขัดต่อหลักฐานที่กล่าวมา
ฝ่ายมุสลิมไม่มีหลักฐานยืนยันว่า ในช่วงเวลา 300 กว่าปี นับตั้งแต่สร้างบาบรีมัสยิดเสร็จจนถึงปี 1856-7 มีการใช้บาบรีมัสยิดเพื่อละหมาด (Namaz)
ฝ่ายมุสลิมที่กล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ในพื้นที่พิพาทดังกล่าว ไม่มีเอกสารพิสูจน์กรรมสิทธิ์หลังการถ่ายโอนอำนาจในปี 1857 แม้มัสยิดดังกล่าวจะสร้างขึ้นในปี 1528 โดยคำสั่งของบาบูร์ (Babur) ทว่าไม่มีหลักฐานใดๆ บ่งบอกกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ดังกล่าว ไม่มีหลักฐานบ่งบอกการใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อละหมาดในช่วงเวลา 300 กว่าปีหลังจากปี 1528
1. การทำลายมัสยิดบาบรีในวันที่ 6 ธันวาคม ปี 1992 ถือเป็นความผิด เป็นการละเมิดกฎหมายอย่างร้ายแรง (ภายหลังจะอธิบายคำวิพากษ์ในประเด็นนี้)
2. มีหลักฐานชัดเจน บ่งบอกถึงการประกอบพิธีทางศาสนาของชาวฮินดู ทั้งในและรอบอาคารอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด นับตั้งแต่มีการสร้างกำแพงในปี 1857 (ดูบทความของนักประวัติศาสตร์ร่วมเขียนในประเด็นนี้)
3. มีหลักฐานเชื่อได้ว่า ชาวฮินดูได้ประกอบพิธีทางศาสนาภายในอาคารก่อนปี 1857 ขณะที่ฝ่ายมุสลิมไม่มีหลักฐานใดๆ ของตนในประเด็นนี้
4. แม้ฝ่ายมุสลิมจะไม่มีหลักฐานเท่าฝ่ายฮินดู และจำต้องตัดสินคดีตามหลักฐานที่มีอยู่ แต่มุสลิมก็เคยใช้พื้นที่นี้ประกอบพิธีทางศาสนาของตน ดังนั้นจึงเห็นควรให้ความยุติธรรมแก่ชาวมุสลิมด้วยเพื่อความปรองดองและสันติภาพ
ยกพื้นที่พิพาทดังกล่าวให้มูลนิธิฮินดู (2 กลุ่ม) และมีคำสั่งให้รัฐจัดหาพื้นที่ประมาณ 12.5 ไร่ ให้มุสลิมเพื่อสร้างมัสยิด
• ข้อโต้แย้งที่ 1 พื้นที่พิพาทดังกล่าวไม่เกี่ยวกับฮินดู ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นมัสยิด ฮินดูเกี่ยวอย่างไร
ข้อเท็จจริง ฮินดูมีส่วนเกี่ยวกับพื้นที่พิพาทแน่นอน (ดูหลักฐานเพิ่มเติมในบทความ)
• ข้อโต้แย้งที่ 2 พระรามมีจริงหรือ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ก็ย่อมหมายความว่า ไม่มีสถานที่ประสูติของพระราม ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา
ข้อเท็จจริง พระรามมีจริงหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นที่ศาลสูงสุดแห่งอินเดียนำมาพิจารณา
• ข้อโต้แย้งที่ 3 ศาลสูงสุดแห่งอินเดียสั่งให้รัฐหาพื้นที่ใหม่ให้มุสลิม ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ศาลสูงสุดแห่งอินเดียรู้ดีว่าพื้นที่พิพาทดังกล่าวเป็นของมุสลิม แต่ได้รับแรงกดดัน/มีการแทรกแซงทางการเมืองจากฝ่ายฮินดู จึงหาทางออกที่ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สงบที่อาจจะตามมา
ข้อเท็จจริง ศาลสูงสุดแห่งอินเดียกล่าวว่า “เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องใช้คืนชุมชนมุสลิมสำหรับการทำลายสถานที่สักการะของเขาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ปฏิเสธมิได้ด้วยว่า ศาลสูงสุดแห่งอินเดียหนักใจไม่น้อยต่อการต้องตัดสินคดีนี้ ดังนั้นศาลสูงสุดแห่งอินเดียจึงพยายามให้ทั้งสองฝ่ายไกล่เกลี่ยกันเอง
• ข้อโต้แย้งที่ 4 ถ้าไม่มีมัสยิดจริง ศาลสูงสุดแห่งอินเดียจะตัดสินทำไมว่าการทำลายมัสยิดเป็นสิ่งที่ผิด
ข้อเท็จจริง ข้อพิพาทแบบนี้ต้องระงับที่ศาลยุติธรรมเท่านั้น ในกรณีนี้ ข้อพิพาทไปถึงศาล 3 ระดับแล้ว หากศาลยังไม่มีคำตัดสิน ประชาชนหรือผู้คนจะทำตามอำเภอใจมิได้โดยเด็ดขาด สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด การตัดสินว่าการทำลายมีความผิด ย่อมย้อนแย้งกับข้อโต้แย้งที่ 3 กล่าวคือ เอาผิดกับผู้นำชาตินิยมฮินดู
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย