อัมเบดการ์: ผู้แสวงหาเสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพในอินเดีย (ตอนที่ 4)
440 views
0
0
"อัมเบดการ์ ตอนที่ 4"

Yeh Hai Bombay Meri Jaan (ที่รักเอย นี่แหละบอมเบย์)
ขับร้องโดย Mohammed Rafi และ Geeta Dutt เพลงนี้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ C.I.D. ฉายในปี 1956 กำกับโดย Raj Khosla ผลิตโดย Guru Dutt ดารานำคือ Dev Anand, Shakila, Johnny Walker, K. N. Singh and Waheeda Rehman

อัมเบดการ์: ผู้แสวงหาเสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพในอินเดีย (ตอนที่ 4)
การศึกษาของอัมเบดการ์

ผู้รับผิดชอบดูแลการศึกษาอัมเบดการ์คือภิมาไบ มารดาของเขา แต่หลังจากเธอถึงแก่กรรมพ่อก็เป็นผู้ดูแลการศึกษาของอัมเบดการ์แทนมาโดยตลอด รามยีผู้มีความรู้ความสามารถในภาษาอังกฤษ มราฐี และอักษรโมฑี มักจะปลุกลูกในเวลาตีสองเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบ เขาคาดหวังว่าลูกจะมิเพียงสอบผ่านเท่านั้น แต่จะต้องสอบได้คะแนนดีมากด้วย ทลิตคนหนึ่งบอกผู้เขียนว่า การที่รามยีเข้มงวดกวดขันเพื่อให้ลูกเรียนหนังสือเก่งๆ น่าจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับทลิตจำนวนหนึ่ง

“การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดสำหรับทลิต เพราะการศึกษานอกจากจะทำให้เรามีโอกาสหลุดพ้นจากวงจรอันเลวร้ายได้แล้ว ยังเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะใช้ปกป้องตัวเราและชาวทลิตคนอื่นด้วย

นอกจากเนื้อหาที่เกี่ยวกับหลักสูตรแล้ว รามยีมักจะสอนให้ลูกเตรียมตัวเผชิญการดูถูกเหยียดหยาม เช่น การต้องห้ามดื่มน้ำจากบ่อน้ำบางบ่อ การต้องห้ามมิให้รับประทานอาหารร่วมกับเพื่อนนักเรียนที่มีวรรณะ การห้ามศึกษาภาษาสันสกฤต และอื่นๆ พร้อมกันนี้รามยีก็ปลูกฝังความหาญกล้าที่จะท้าทายการตีตราทางวรรณะอันเลวร้ายให้ลูกด้วย

เหยื่อของระบบวรรณะ

แม้พ่อจะเตรียมตัวให้ลูกบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ง่ายที่ลูกจะทำใจได้เมื่อต้องถูกเลือกปฏิบัติอย่างโจ่งแจ้ง ในโรงเรียนที่สตารา อัมเบดการ์วัยเยาว์ต้องประสบการกีดกันอันน่าเศร้าสลด เขากับเพื่อนอีกไม่กี่คนถูกแยกไม่ให้นั่งร่วมกับเพื่อนนักเรียนที่มีวรรณะ เขาและเพื่อนนอกวรรณะไม่ได้รับอนุญาตให้คบค้าสมาคมหรือเล่นกับเพื่อนที่มีวรรณะ ครูสอนสันสกฤตไม่อนุญาตให้ทลิตเรียนสันสกฤต เพราะความเชื่อที่ว่าทลิตต่ำต้อยและแปดเปื้อนเกินกว่าจะศึกษาสันสกฤตภาษาอันศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง ดังนั้นแล้ว อัมเบดการ์จำต้องเลือกเรียนภาษาเปอร์เซีย ทั้งที่ตนประสงค์จะเรียนสันสกฤต นอกจากนี้ครูก็ไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับเขาและเด็กนักเรียนทลิตคนอื่น ภายนอกโรงเรียนการกีดกันทางวรรณะก็ใช่ว่าจะน้อยกว่าภายใน จะหาร้านตัดผมที่ยอมตัดผมทลิตแม้แต่ร้านเดียวก็ไม่ได้

ประสบการณ์อันทุกข์ทรมานนอกจากจะมิได้ทำให้อัมเบดการ์เป็นเหยื่อของระบบวรรณะอันเลวร้ายเท่านั้น ยิ่งอัมเบดการ์เติบโต เขายิ่งมีภาพพจน์เป็นเด็กที่ควบคุมยาก และชอบโต้เถียงกับผู้คน สันนิษฐานได้ว่า อัมเบดการ์ผู้ซึ่งไม่พอใจกับการถูกเลือกปฏิบัติเพราะการตีตราทางวรรณะ เลือกใช้กลไกท้าทายอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ

ครอบครัวย้ายไปบอมเบย์

ปี 1904 เมื่อรามยีต้องเลิกทำงานเพราะสิ้นสุดสัญญาจ้าง เขาจำต้องพาครอบครัวย้ายไปบอมเบย์ (ปัจจุบันคือมุมไบ) ในเวลานั้นรามยีเริ่มประสบปัญหาทางการเงินแล้ว เงินบำนาญที่มีอยู่ก็ใช่ว่าจะพอ ไหนจะต้องจ่ายค่าเช่าห้อง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน และซื้อหนังสือให้อัมเบดการ์เล่าเรียนอีก พี่ชายของอัมเบดการ์ชื่อพลราม จึงเลิกเรียนหนังสือไปทำงานในโรงงานเพื่อช่วยค้ำจุนบ้าน ทันทีที่ย้ายไปบอมเบย์ อัมเบดการ์ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมมราฐาในปาเรล ก่อนจะย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมเอลฟินสโตน โดยจ่ายค่าเล่าเรียนลดหย่อน เมื่ออัมเบดการ์อายุ 14 ปี พ่อรามยีให้เขาแต่งงานกับรามาไบวัยเก้าขวบ ในปี 1912 รามาไบให้กำเนิดบุตรชายชื่อยศวันต์ หลังจากนั้นระหว่างปี 1913 ถึง 1924 ทั้งคู่มีลูกอีก 4 คน แต่ทั้งสี่เสียชีวิตหมด มีเพียงยศวันต์ลูกชายคนแรกเท่านั้นที่อยู่รอด

ความสามารถในการเล่าเรียนของอัมเบดการ์

ณ โรงเรียนมัธยมปลายเอลฟินสโตน อัมเบดการ์ได้สำแดงความสามารถในการเล่าเรียนเป็นครั้งแรก อาจจะเป็นไปได้ว่า อัมเบดการ์เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาด้วยตนเองเป็นครั้งแรกที่บอมเบย์ ทั้งนี้แม้บอมเบย์จะเป็นเมืองที่มีการกีดกันน้อยกว่าดาโปลี หรือสตารา แต่อัมเบดการ์ก็ไม่มีเพื่อนนักเรียน ครูส่วนใหญ่ที่โรงเรียนก็ไม่ได้สนใจเขา เขาชอบใช้เวลาอ่านหนังสือในสวนสาธารณะใกล้โรงเรียนตามลำพัง บุคคลหนึ่งที่เคยไปใช้สวนสาธารณะแห่งนี้และสังเกตเห็นความทะเยอทะยานของอัมเบดการ์คือ กฤษณะ อรชุนราว เกลุสการ์ นักคิดนักปฏิรูปที่ดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนมัธยมปลายวิลสัน เกลุสการ์เป็นผู้แนะนำตนต่ออัมเบดการ์และหลังจากนั้นก็กลายเป็นบุคคลสำคัญในการสนับสนุนอัมเบดการ์

ปี 1907 อัมเบดการ์สอบผ่านชั้นมัธยมปลาย ถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งสำหรับยุคสมัยนั้นซึ่งผู้คนชาวอินเดียยังเรียนหนังสือในระดับสูงไม่มากนัก และหากเปรียบเทียบกับทลิตโดยทั่วไปแล้ว นับว่าเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุด ณ บัดนี้แลดูคล้ายว่า ทลิตที่มีนามว่าอัมเบดการ์มองเห็นแล้วว่าตนจะศึกษาให้มากที่สุด ยิ่งเป็นคนนอกวรรณะ ตนยิ่งเห็นความจำเป็นที่จะรู้จริงและมีปริญญาบัตรรับประกัน เพื่อมิให้ใครมีโอกาสใช้ความรู้กดขี่ตนหรือผู้ถูกกดขี่ทางวรรณะคนอื่นๆ อีก

อัมเบดการ์โชคดีมาก ทันทีที่ตนจบการศึกษาในปี 1907 เกลุสการ์จัดหาทุนให้เขาเรียนต่อในระดับปริญญาตรีจากรัฐบโรดา หนึ่งในรัฐเจ้านครที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย นอกจากนั้นยังว่ากันว่า เกลุสการ์ได้นำหนังสือพุทธประวัติที่เขาเป็นผู้เขียนมามอบให้อัมเบดการ์อีกด้วย อัมเบดการ์ศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่วิทยาลัยเอลฟินสโตน (สังกัดมหาวิทยาลัยบอมเบย์) โดยได้รับทุนการศึกษาเดือนละ 25 รูปีจากผู้ปกครองบโรดา มหาราชาสายาจีราว คายกวาท กษัตริย์ผู้มีหัวปฏิรูป ณ ที่นี้เช่นกัน เขาไม่ค่อยจะสุงสิงกับเพื่อนนักศึกษามากนัก

ทำไมพ่อรามยีไม่อยากให้อัมเบดการ์ไปจากบอมเบย์

ปี 1913 อัมเบดการ์จบปริญญาตรีสาขาภาษาอังกฤษและภาษาเปอร์เซีย และในปีเดียวกันนั้นอัมเบดการ์เข้าทำงานในบโรดาเพื่อสำแดงความกตัญญูรู้คุณต่อท่านมหาราชา รามยีไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของอัมเบดการ์ เพราะเขาประสงค์จะให้ลูกชายของตนอยู่ในบอมเบย์ที่ซึ่งมีวัฒนธรรมความเป็นสากลบ้าง แต่อัมเบดการ์ยืนกรานที่จะทำตามสิ่งที่ตนปรารถนา ครั้นเมื่อเขาเดินทางถึงบโรดา อัมเบดการ์คงเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อรามยีจึงไม่อยากให้ลูกไปจากบอมเบย์ การกีดกันทางวรรณะในคุชราตอันเป็นส่วนหนึ่งของบโรดานั้นย่ำแย่มาก ไม่มีสถานที่พักใดประสงค์จะรับทลิต ยกเว้นที่พักของสำนักงานอารยสมาช อัมเบดการ์ไม่อาจหางานดีๆ ทำได้ แต่ละกรมเคลื่อนย้ายเขาไปทำงานใหม่เรื่อยๆ ไม่ให้เขามีงานถาวร เขารู้แล้วว่าในคุชราตท่ามกลางการครอบงำของคนวรรณะพราหมณ์ไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่ เขารอโอกาสที่จะลาออกและกลับบอมเบย์ ทว่าโอกาสนั้นไม่มาสักทีจนกว่าเขาจะทราบข่าวว่าพ่อรามยีถึงแก่กรรมแล้ว เขารีบกลับบอมเบย์

ณ บัดนี้พ่อที่พยายามปลุกปั้นให้ลูกมีความรู้ความสามารถเพื่อว่าลูกจะหลุดพ้นออกจากวัฏจักรเลวร้ายแห่งวรรณะได้จากไปแล้ว ต่อจากนี้ไปไม่มีใครอีกแล้วที่จะคอยให้คำปรึกษา
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย