อินเดียกับเทศกาลสงกรานต์
741 views
0
0

เพลง Bohagi
เพลงนี้อาจทำให้ผู้ฟังรายการรู้สึกประหลาดใจว่า ทำไมสำเนียงของดนตรีจึงคล้ายคลึงกับดนตรีพื้นบ้านของไทยและประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศมากเป็นพิเศษ ในอินเดียมีดนตรีเช่นนี้ด้วยหรือ คำตอบคือมีแน่นอน เพราะเพลงนี้เป็นเพลงจากมลรัฐอัสสัม ซึ่งเป็นมลรัฐที่ประชากรมีชาติพันธุ์และวัฒนธรรมใกล้เคียงกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก เพลงที่เปิดนี้ชื่อว่าเพลง Bohagi หมายถึง “Bohag Bihu” เทศกาลปีใหม่ของอัสสัมที่ตรงกับช่วงสงกรานต์ในไทยนั่นเอง

สวัสดีวันสงกรานต์

วันนี้เป็นโอกาสแรกของเราที่จะกล่าวสวัสดีวันสงกรานต์กับผู้ฟังรายการทุกท่าน แม้ว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างเป็นทางการคือวันที่ 13-15 เมษายนจะล่วงเลยผ่านไปแล้ว แต่ในวันที่เราออกอากาศนี้ซึ่งเป็นวันที่ 16 เมษายน เชื่อว่ายังคงมีหลายท่านกำลังเพลิดเพลินกับการพักผ่อนในช่วงสงกรานต์อยู่ และน่าจะล่วงเลยไปจนถึงวันพรุ่งนี้ ก่อนที่จะกลับมาทำงานตามปกติในวันจันทร์หน้า เรียกว่าในทางปฏิบัติเทศกาลสงกรานต์ก็ยังไม่จบลง ในปีนี้เชื่อว่าหลายคนอาจจะเลือกพักผ่อนอยู่บ้าน เพราะสถานการณ์โรคระบาดยังคงน่าเป็นห่วงอยู่ สำหรับท่านใดที่ไปท่องเที่ยวหย่อนใจหรือกลับบ้านที่ต่างจังหวัด พวกเราทั้งสองหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านคงจะระมัดระวังตัวเป็นอย่างดีและปลอดภัยจากโควิด-19 กันทุกคน

ในเมื่อเป็นช่วงเทศกาลอย่างนี้แล้ว หัวข้อของรายการปกิณกะอินเดียซึ่งมักจะเกาะติดสถานการณ์อยู่เสมอถ้าเป็นไปได้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งนับว่ามีเหตุผลมาก เพราะหลายท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่าเทศกาลสงกรานต์มีความสัมพันธ์กับอินเดียไม่น้อยเลย กระนั้นก็ตามเราคงต้องปูพื้นเกี่ยวกับคำว่า “สงกรานต์” ก่อนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

คำว่า “สงกรานต์”

เมื่อกล่าวถึงคำว่า “สงกรานต์” ภาพที่ผุดขึ้นมาในสมองคนไทยจำนวนมากคงเป็นเรื่องการละเล่นสาดน้ำ เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลสงกรานต์ไทยเลยทีเดียว

แต่ความสำคัญของสงกรานต์มิได้อยู่ที่การสาดน้ำ แต่คือการเถลิงศกใหม่

โดยรูปศัพท์แล้ว คำว่า “สงกรานต์” มาจากศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า สํกฺรานฺติ (สังกรานติ) ซึ่งเป็นคำศัพท์ในปฏิทินฮินดู มีความหมายถึงการเคลื่อนย้ายจักรราศีของพระอาทิตย์ซึ่งเท่ากับเป็นการเริ่มต้นเดือนใหม่ของปฏิทินฮินดู และมิได้ใช้เฉพาะช่วงเดือนเมษายนเท่านั้น แต่ใช้ได้กับทุกราศี ตัวอย่างเช่น ‘มกรสํกฺรานฺติ’ พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายเข้าสู่ราศีมกร ‘กุมฺภสํกฺรานฺติ’ เข้าสู่ราศีกุมภ์

โดยปกติแล้วช่วงพระอาทิตย์ผลัดเปลี่ยนราศีนี้นับว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญ บ่อยครั้งจึงนำมาสู่การเฉลิมฉลอง ดังนั้นเทศกาลในอินเดีย เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ตกในช่วงสังกรานติหรือสงกรานต์จึงมีอยู่มากมาย แต่ ณ ที่นี้เราจะกล่าวถึงเฉพาะสงกรานต์ที่พวกเราเองก็ฉลองด้วย ซึ่งมีเพียงสงกรานต์เดียวที่ปฏิทินฮินดูเรียกว่า “เมษสํกฺรานฺติ” ในที่นี้ถ้าจะเรียกให้เข้าหูคนไทยก็คงต้องเรียกว่า “เมษาสงกรานต์”

เมษาสงกรานต์

มีความสำคัญกว่าสงกรานต์อื่นในแง่ที่ว่าเป็นจุดเริ่มนับศักราชใหม่ในปฏิทินฮินดู พูดง่าย ๆ คือวันขึ้นปีใหม่นั่นเอง

สำหรับรายละเอียดของปฏิทินฮินดู เราได้เคยพูดไปแล้วในตอน ศาลิวาหนศก ซึ่งออกอากาศไปเมื่อวันที่ 1 มกราคมปีนี้ สามารถย้อนไปฟังได้ที่ https://curadio.chula.ac.th/Program-Detail.php?id=11805

ด้วยเหตุนี้อินเดียและประเทศอื่น ๆ รอบด้านที่รับอิทธิพลทางศาสนาและวัฒนธรรมจากอินเดีย ก็พากันเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ไปตาม ๆ กันในฐานะเทศกาลขึ้นปีใหม่ของตนเอง แต่การฉลองเป็นไปในลักษณะต่าง ๆ กันตามความเชื่อทางศาสนาของแต่ละท้องถิ่น

สงกรานต์ของไทย

ช่วงนี้รายการอื่น ๆ หลายรายการคงจะกล่าวถึงสงกรานต์ของไทยในเชิงตำนานและความเชื่อ ตลอดจนประเพณีปฏิบัติ ดังนั้น ด้วยเวลาอันจำกัดของรายการ เราคงไม่กล่าวถึงสงกรานต์แบบไทยมากนัก เพราะเป็นสิ่งที่เราฟังกันมาทุกปี จะขอกล่าวเพียงย่นย่อแต่ว่า ตกในวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี

วันที่ 13 เรียกว่า วันมหาสงกรานต์
วันที่ 14 เรียกว่า วันเนา
วันที่ 15 เรียกว่า วันเถลิงศก

ที่จริงมีรายละเอียดอยู่มากมาย เช่นเรื่องนางสงกรานต์ แต่ละปีจะมีประกาศว่านางสงกรานต์ชื่ออะไร ประทับอะไร หัตถ์ทรงอะไร เสวยอะไร เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็สุดแต่ว่าสงกรานต์ปีนั้นจะตกวันใดในสัปดาห์ ซึ่งเราไม่อาจกล่าวลงรายละเอียดได้ เพราะวันนี้เราจะเล่าให้ฟังถึงประเพณีนี้ในประเทศอื่น ๆ รวมทั้งหลากหลายท้องถิ่นในอินเดีย ซึ่งมีทั้งความเหมือนและความต่างอย่างมีนัยสำคัญ

สงกรานต์ในสุวรรณภูมิ

ก่อนอื่นขอเริ่มจากประเพณีในแถบสุวรรณภูมิก่อน นอกจากประเทศไทยซึ่งสงกรานต์เป็นเทศกาลสำคัญจนเป็นที่มาของรายได้มหาศาลจากการท่องเที่ยวในแต่ละปี

การเฉลิมฉลองในประเทศกัมพูชา เรียกว่า បុណ្យចូលឆ្នាំខ្មែរ (บ็อญโจลฉนำขแมร์) หรือ ចូលឆ្នាំថ្មី (โจลฉนำเทม็ย) แปลตามศัพท์ว่างานเข้าปีเขมรหรือเข้าปีใหม่นั่นเอง ประเพณีนี้มีสามวัน วันแรกเรียกว่า មហាសង្ក្រាន្ត (โมฮาซ็องกราน) ซึ่งมักจะหมดไปกับการทำบุญและไหว้พระสวดมนต์ วันที่สองเรียก វារៈវ័នបត (เวียเรียะว็วนโนบ็อต) เป็นวันทำทานให้ผู้ยากไร้ และวันที่สามเรียก វារៈឡើងស័ក (เวียเรียะเฬิงซัก) เป็นวันรดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ ส่วนการละเล่นรื่นเริงต่าง ๆ ก็มีคล้ายสงกรานต์ไทย

ใน สปป. ลาว เรียกว่า ປີໃຫມ່ລາວ หรือ ບຸນຫົດນໍ້າ แปลง่าย ๆ ว่า “บุญรดน้ำ” นั่นเอง

ส่วนภาษาพม่า เรียกว่า Thingyan ตี้น์จ่าน์ และด้วยความที่เมียนมาเป็นประเทศที่มีหลายชาติพันธุ์ แต่ละชาติพันธุ์ก็จะมีคำเรียกและประเพณีที่แตกต่างกันในเชิงรายละเอียด

ทั้งหมดที่กล่าวมารวมทั้งไทยด้วยจะมีสิ่งที่คล้ายกันคือ การทำบุญ การฟังเทศน์ฟังธรรม การบริจาคทาน การทำความสะอาดสถานที่ การขนทรายเข้าวัดและก่อเจดีย์ทราย การสรงน้ำพระพุทธรูป การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ การฟ้อนรำ การละเล่นรื่นเริง รวมทั้งการสาดน้ำกันเล่นในบรรดาหนุ่มสาว

ไม่เพียงแต่เท่านั้น ประเพณีสงกรานต์ที่คล้ายคลึงกันยังพบในสิบสองปันนาของจีนซึ่งเป็นถิ่นฐานของชาวเผ่าไต่หรือชาวไท และในบางส่วนของเวียดนามก็พบเช่นกัน

สงกรานต์ในอินเดียและเอเชียใต้

เริ่มต้นจากที่ใกล้เคียงกับในสุวรรณภูมิที่สุด เรียกว่า “สังเกน” หรือ “ปอยสังเกน” เป็นงานฉลองปีใหม่ของชุมชนชาวพุทธเถรวาทที่มลรัฐอรุณาจัลประเทศและบางส่วนของมลรัฐอัสสัม ซึ่งดินแดนเหล่านี้เป็นที่อยู่ของชาวไทคำตี้ ไทพ่าเก ไทคำยัง ไทอ่ายตน รวมทั้งชาวซิงโพและตังซา ซึ่งมีเชื้อสายเกี่ยวพันกับชาติพันธุ์ในเมียนมา การฉลองปอยสังเกนก็กระทำเป็นเวลาสามวันเช่นเดียวกัน โดยมักจะตกในวันที่ 14-16 เมษายนของทุกปี หลัก ๆ แล้วกิจกรรมต่าง ๆ ในประเพณีนี้จะเชื่อมโยงกับวิถีความเชื่อแบบพุทธที่รักสันติ มีขบวนแห่และสรงน้ำพระพุทธรูป มีการทำขนมพิเศษมาแจกและแลกเปลี่ยนอาหารและของขวัญกัน เป็นการกระชับสัมพันธไมตรีในหมู่ญาติมิตร ซึ่งจะมีบรรยากาศอบอุ่นมากเพราะชุมชนเหล่านี้โดยส่วนใหญ่มีขนาดเล็กเพียงระดับไม่กี่พันคน ก็มักจะรู้จักคุ้นเคยกันดี

เทศกาลของชาวศรีลังกา เรียกว่า Aluth Avurudda เป็นเทศกาลสงกรานต์ของชาวสิงหฬ ทว่าชาวทมิฬจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในศรีลังกาก็ร่วมเฉลิมฉลองด้วย เพราะวันเวลาตรงกับเทศกาลปีใหม่ทมิฬเช่นเดียวกัน สิ่งที่น่าสนใจคือ เดิมทีแล้วเทศกาลนี้นักโบราณคดีเชื่อกันว่ามาจากเทศกาลฉลองการเก็บเกี่ยวในยุคโบราณ แต่ด้วยเหตุที่พุทธศาสนาเข้ามาสู่ศรีลังกาในเวลาต่อมา จึงเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ และผสมผสานคติความเชื่อแบบฮินดูที่คงอยู่เคียงข้างกับพุทธมาตลอดอย่างแยกไม่ขาดอีกด้วย กิจกรรมที่คนปฏิบัติในช่วงเทศกาลดังกล่าวนี้คือการทำความสะอาดบ้านเรือน การจุดประทีปบูชา การถือศีลและงดเว้นปฏิบัติกามกิจ เป็นต้น และนอกเหนือจากพิธีเหล่านี้ก็จะมีการละเล่นบนท้องถนน รวมทั้งการเปิดบ้านต้อนรับผู้มาเยือน ทำขนมพิเศษประจำเทศกาลแจกจ่ายกันกิน

เทศกาลสงกรานต์ของชาวอัสสัม ซึ่งเราได้กล่าวไว้ตั้งแต่ช่วงเปิดเพลงต้นรายการ นั่นคือเทศกาลชื่อว่า Bohag Bihu เทศกาลนี้เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและการเก็บเกี่ยวเป็นอย่างมาก โดยการฉลองเริ่มประมาณตั้งแต่ 13-14 เมษายน กินเวลาแบ่งเป็นเจ็ดช่วง จึงทำให้ได้อีกชื่อหนึ่งว่า Saat Bihu (เทศกาลบิหุทั้งเจ็ด) กิจกรรมของแต่ละช่วงนั้นเกี่ยวข้องกับการเต้นรำเฉลิมฉลองและการดูแลทำความสะอาดปศุสัตว์ที่ใช้ในการเก็บเกี่ยว การเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ และการจัดเลี้ยงสังสรรค์ ซึ่งแต่ละถิ่นของอัสสัมมีการฉลองแตกต่างกันออกไป

ส่วนในถิ่นอื่น ๆ ของอินเดีย ที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปก็มีเช่นเทศกาล ปุตาณฎุ (Puthandhu) ของชาวทมิฬ ซึ่งเป็นเทศกาลปีใหม่ของชาวทมิฬ ตรงกับวันที่ 14 เมษายนของทุกปี แต่ละคนจะทำความสะอาดบ้านเรือน จัดเครื่องบูชาตามเทศกาลที่ประกอบด้วยขนมและผลไม้ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่ จุดดวงประทีป และที่เห็นกันบ่อยคือประดับตกแต่งบ้านด้วยข้าวสีสันต่าง ๆ ที่เรียกว่า โกลัม หรือภาษาฮินดีเรียกว่า รังโกลี ส่วนในถิ่นอื่น ๆ ที่ฉลองตรงกันก็มีเทศกาล วิศุ (Vishu) ของรัฐเกรละ มหาวิศุภสังกรานติ (Maha Vishubha Sankranti) ในโอทิศา และโปยลา บอยสาข (Pohela Boisakh) ในรัฐเบงกอล ซึ่งมีชื่อเสียงด้านขบวนแห่ที่ครึกครื้น เป็นต้น ที่กล่าวมานี้คือเทศกาลปีใหม่ที่อิงกับคติฮินดู

ชาวซิกข์ในรัฐปัญจาบ ก็ยังมีปีใหม่ที่เรียกว่า วิสาขี (Visakhi) หรือ แวสาขี ในภาษาฮินดี ซึ่งมีการสวดกีรตัน การขับร้อง การละเล่นรื่นเริง งานแฟร์ (ลักษณะเหมือนงานวัด) และการแสดงศิลปะการต่อสู้ต่าง ๆ แม้ว่าการฉลองวิสาขีหรือแวสาขีนี้มีที่มาทางประวัติศาสตร์ที่ต่างจากคติศาสนาอื่น แต่วันที่ก็ยังคงสัมพันธ์กับวันเมษาสงกรานต์อยู่นั่นเอง

เราอาจสังเกตได้ว่า

เทศกาลขึ้นปีใหม่ช่วงเมษาสงกรานต์นี้ ไม่ว่าแต่ละถิ่นจะเรียกว่าอะไร เฉลิมฉลองตามคติศาสนาอะไร และมีกิจกรรมแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมของตนอย่างไร แต่จุดร่วมที่ทุกวัฒนธรรมมีเหมือนกันคือ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและการเริ่มต้นใหม่ ความสมัครสมานสามัคคี การพบปะรวมตัวของญาติมิตร การให้ การแลกเปลี่ยน และการบริจาค สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มีอยู่ในมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาและทุกศาสนา เพราะเราต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย