พิธีเปิดอโยธยารามมณเฑียร 2024
1,086 views
0
0

เพลง Ram Sita Ram
เป็นเพลงภาษาเตลูกู มีชื่อว่า “Ram Sita Ram” (ราม สีดา ราม) เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “Adipurush” (อาทิบุรุษ) ภาพยนตร์ปี 2023 เนื้อเรื่องโดยรวมอิงจากมหากาพย์รามายณะ ทว่านำเสนอด้วยรูปแบบภาพยนตร์แนวแฟนตาซี นำแสดงโดย ประภาส (Prabhas) ดาราภาพยนตร์เตลูกูที่โด่งดังมาจากภาพยนตร์เรื่อง “Bahubali” (พาหุพลี) ซึ่งเชื่อว่าผู้ฟังหลายคนคงจะรู้จักหรือเคยดูแล้วด้วยซ้ำ เพราะเรื่องพาหุพลีโด่งดังไม่น้อยในเมืองไทย

อันที่จริงเพลงที่เปิดไปนั้นมีเวอร์ชั่นภาษาฮินดีด้วย ใช้ชื่อว่า “Ram Siya Ram” คำว่า “Siya” หรือ “สียา” มีความหมายเดียวกับสีดานั่นเอง

สาเหตุที่เลือกเวอร์ชั่นภาษาเตลูกูมาเปิดแทนที่จะเป็นภาษาฮินดีก็เพราะภาษาเดิมของภาพยนตร์อาทิบุรุษเป็นภาษาเตลูกู จึงอยากให้ผู้ฟังได้ฟังจากภาษาต้นฉบับ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องบอกว่า ในอินเดียปรากฏการณ์เช่นนี้ธรรมดามาก กล่าวคือภาพยนตร์เรื่องเดียวกันได้รับการแปลออกเป็นหลายภาษาในอินเดีย เพลงของแต่ละเรื่องก็ได้รับการแปลด้วย เพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจให้มากที่สุด

พิธีเปิดรามมณเฑียร 2024 (นาที 5.55)

ปี 2024 เพิ่งจะเริ่มขึ้นไม่กี่วัน เราก็กำลังจะเข้าสู่เหตุการณ์สำคัญยิ่งในอินเดียที่หลายคนกำลังจับตารอคอยอยู่ ณ ขณะนี้แล้ว และเป็นเหตุการณ์ที่เราจะพูดถึงในหัวข้อของเรื่องวันนี้ด้วย นั่นคือ

พิธีเปิดรามมณเฑียร ตั้งอยู่ ณ เมืองอโยธยา ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตแดนมลรัฐอุตตรประเทศ

พิธีดังกล่าวได้กำหนดวันที่ไว้เป็นวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2024 ณ ขณะที่เรากำลังอัดรายการอยู่นี้ก็เหลือเวลาอีก 4 วัน เท่านั้น และยิ่งในวันออกอากาศก็จะเหลือเวลาอีกเพียง 2 วัน

“อโยธยา” มีนัยสำคัญอย่างไรกับคนไทย

ก่อนพูดเรื่องรามมณเฑียร ขอกล่าวเรื่องอโยธยาก่อน คำว่า “อโยธยา” มีนัยสำคัญอย่างไรกับคนไทย คิดว่าหลายคนคงตอบได้ทันทีว่า

อโยธยา คือชื่อเมืองหลวงของพระรามในเรื่องรามเกียรติ์ และเรายังได้นำคำดังกล่าวมาแผลงเป็นชื่อกรุงเก่าคือพระนครศรีอยุธยาด้วย ซึ่งสัมพันธ์กับคติที่ว่ากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ ซึ่งคือพระรามนั่นเอง

ความหมายของคำว่า อโยธยา

“อโยธยา” ในภาษาสันสกฤตประกอบมาจากรากศัพท์ ยุธฺ แปลว่า ต่อสู้

อักษร อ ที่อยู่ด้านหน้าแผลงมาจากอุปสรรค น ที่มีความหมายว่า ไม่

รวมความแล้วหมายถึง ไม่พึงต่อสู้ด้วย กล่าวอีกนัยคือเมืองที่แข็งแกร่งจนไม่อาจรบด้วยได้นั่นเอง

การสร้างเมืองอโยธยาในเรื่องรามเกียรติ์ของไทย

รามเกียรติ์ของไทยกล่าวถึงการสร้างเมืองอโยธยาไว้อย่างน่าสนใจว่า

หลังจากพระนารายณ์อวตารไปปราบหิรันตยักษ์ ได้บรรทมแล้ว เกิดมีดอกบัวผุดขึ้นจากพระนาภี ในดอกบัวมีกุมารองค์หนึ่ง พระนารายณ์จึงอุ้มกุมารนั้นไปเข้าเฝ้าพระอิศวรที่เขาไกรลาส และทูลพระอิศวรถึงการปราบหิรันตยักษ์

พระอิศวรเห็นพระกุมารจึงบอกแก่พระนารายณ์ว่า กุมารนี้เป็นผู้ที่เกิดจากพระนารายณ์ ต่อไปจะเป็นปฐมกษัตริย์วงศ์พระนารายณ์ จะได้เป็นใหญ่ปราบยุคเข็ญนำความสงบมาสู่โลกในภายภาคหน้า

พระอิศวรจึงสั่งให้พระอินทร์ลงไปสร้างเมืองที่ชมพูทวีป เพื่อถวายให้กุมารผู้สืบเชื้อสายแห่งพระนารายณ์

พระอินทร์เหาะมาถึงชมพูทวีปแล้ว เล็งเห็นทำเลเหมาะทางทิศตะวันออก เป็นป่าชื่อ “ทวาราวดี” มีฤษีสี่ตน ชื่อ อจนคาวี ยุคอัคระ ทหะ และ ยาคะ บำเพ็ญพรตบริเวณนี้มานานกว่าแสนปีแล้ว พระอินทร์จึงเข้าไปแจ้งว่าได้รับบัญชาจากพระอิศวรให้มาสร้างพระนครเพื่อถวายบุตรแห่งพระนารายณ์

ฤษีทั้งสี่ได้ฟังดังนั้นก็ยินดีสละที่บำเพ็ญพรตให้สำหรับสร้างเมือง พระอินทร์จึงนำอักษรต้นชื่อของฤษีทั้งสี่มาตั้งเป็นนามเมืองสืบไป

นั่นเป็นตำนานเมืองอโยธยาในแบบฉบับรามเกียรติ์ของไทย หลายคนแม้จะคุ้นเคยกับเรื่องรามเกียรติ์ดี แต่ก็อาจจะรู้จักอโยธยาเฉพาะในแง่มุมที่เป็นเมืองในตำนาน

อโยธยาบนแผนที่อินเดีย

แท้จริงแล้วเมืองอโยธยามีตำแหน่งปรากฏบนแผนที่อินเดียจริง ๆ คือตั้งอยู่ในมลรัฐอุตตรประเทศทางตอนเหนือของอินเดีย

ตัวเมืองของอโยธยาที่เชื่อว่าเคยเป็นเมืองของพระราม จริง ๆ แล้วมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีพื้นที่ประมาณ 120 ตร. กม. และมีประชากรราว ๆ ไม่เกิน 7 หมื่นคน แต่หน่วยการปกครองระดับใหญ่กว่าที่มีเมืองอโยธยาตั้งอยู่ ก็ได้ชื่อว่าอโยธยาเหมือนกัน มีประชากรเกือบ ๆ 3 ล้านคน

ดังนั้นขอให้เข้าใจว่า อโยธยาที่เราพูดถึงในวันนี้คือเมืองอโยธยาที่เชื่อกันว่าเคยเป็นเมืองในตำนานที่พระรามเคยครองราชย์ และเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ผู้นับถือศาสนาฮินดู

ตำนานเมืองอโยธยา

ตามประวัติศาสตร์ เมืองโบราณอโยธยาเคยปรากฏชื่อเรียกในบันทึกทางพุทธศาสนาและศาสนาเชนว่า เมืองสาเกต เป็นเมืองหลวงของแคว้นโกศลมหาชนบท ดังนั้นบันทึกโบราณหลายเล่มจึงปรากฏชื่อสาเกต โกศล หรือ อโยธยา สับเปลี่ยนกัน เช่น กาลิทาสระบุไว้ในพงศาวดารรฆุวังศะ (Raghuvamsa) ของตนว่า อโยธยาคืออีกชื่อหนึ่งของเมืองสาเกต

มีอีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า อโยธยาของพระรามนั้นเป็นเมืองในตำนาน ชื่อเมืองนี้ถูกนำมาตั้งให้เมืองสาเกตในสมัยราชวงศ์คุปตะ เมื่อประมาณคริสตศตวรรษที่ 4 เท่านั้น

ตำนานของเมืองอโยธยามียืดยาวมากและมีหลายทฤษฎี แต่หากถือว่าเมืองสาเกตคือเมืองอโยธยา ก็ขอกล่าวโดยสรุปว่า เมืองสาเกตนั้นเดิมทีเคยเป็นเมืองสำคัญและนับเป็นศูนย์กลางการค้าแห่งหนึ่งในช่วงสมัยพุทธกาล จึงเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงไปเผยแผ่ศาสนา ต่อมาเมื่อแคว้นโกศลถูกพระเจ้าอชาตศัตรูแห่งแคว้นมคธพิชิตได้ เมืองสาเกตก็ลดบทบาทความสำคัญทางการเมืองลง

ตราบจนถึงสมัยราชวงศ์โมกุล เมืองอโยธยามีชื่อเรียกว่า อวัธ หรือ อูธ ซึ่งก็กร่อนมาจากคำว่า อโยธยา นั่นเอง และมีการก่อสร้างมัสยิดแห่งหนึ่ง ชื่อว่า บาบรีมัสยิด บนสถานที่ที่เชื่อว่าเคยเป็นที่ประสูติของพระราม เหตุดังนี้มัสยิดดังกล่าวก็ได้กลายเป็นชนวนความขัดแย้งระหว่างชุมชนมุสลิมกับฮินดูอย่างยาวนาน จนถึงขนาดมัสยิดบาบรีถูกทำลายลงใน ค.ศ. 1992 และเกิดเป็นคดีความฟ้องร้องกัน

เราได้สรุปไว้ในรายการปกิณกะอินเดีย ออกอากาศวันที่ 25 มกราคม 2563 ในที่นี้เราจึงจะไม่ขอเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับคดีความซ้ำอีก ขอกล่าวแต่เพียงว่า ในที่สุดชาวฮินดูก็ได้รับพื้นที่ดังกล่าว ขณะที่มุสลิมก็ได้รับจัดสรรพื้นที่ของตนไปเพื่อสร้างมัสยิดทดแทน >> คดีอโยธยาแห่งอินเดีย https://curadio.chula.ac.th/Program-Detail.php?id=9193

และเรื่องที่ว่านี้นำมาสู่เรื่องรามมณเฑียรที่กำลังจะพูดถึง

สาเหตุที่ต้องเกริ่นเรื่องคดีความก็เพราะพื้นที่ในข้อพิพาทดังกล่าวที่เคยเป็นบาบรีมัสยิดนี่แหละ ที่นำมาใช้สร้างรามมณเฑียร พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่รู้จักในอีกนามว่า รามชันมภูมิ (Ramjanmabhoomi) หรือที่ประสูติของพระราม

รามมณเฑียร

พิธีภูมิปูชัน (พิธีวางศิลาฤกษ์) สำหรับการเริ่มต้นการก่อสร้างรามมณเฑียร ได้ดำเนินการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2020 โดยนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี เป็นประธาน การก่อสร้างได้รับการดูแลโดย Shri Ram Janmabhoomi Teerth Kshetra Trust และดังที่กล่าวแล้ว พิธีเปิดจะมีกำหนดวันที่ 22 มกราคม 2024 เชื่อว่าการก่อสร้างก็คงเสร็จสมบูรณ์แล้วและรอเตรียมการเปิดเท่านั้น

ในพิธีเปิดจะมีการนำเทวรูปพระรามเข้าไปประดิษฐานในแท่นบูชาชั้นในที่เรียกว่า ครรภคฤหะ (Garbhagriha) ซึ่งในพิธีเปิดนี้ นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีก็ได้รับเชิญเป็นประธานอีกเช่นกัน

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับรามมณเฑียรแห่งใหม่นี้ก็น่าสนใจไม่น้อย แบบดั้งเดิมของรามมณเฑียรได้รับการออกแบบในปี ค.ศ. 1988 โดยสถาปนิกสกุลโสมปุระ แห่งอาห์เมดาบาด

สกุลโสมปุระ มีส่วนในการออกแบบวัดมากกว่า 100 แห่งทั่วโลกเป็นเวลาอย่างน้อย 15 รุ่น รวมทั้งวัดโสมนาถด้วย หัวหน้าสถาปนิกของวัดคือจันทรกานต์ โสมปุระ โดยได้รับความช่วยเหลือจากลูกชายสองคนของเขา นิขิล โสมปุระ และอาศิศ โสมปุระ ซึ่งเป็นสถาปนิกเช่นกัน

ในปี ค.ศ. 2020 มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบบางประการจากแบบฉบับของโสมปุระ ตามคัมภีร์ฮินดูวัสดุศาสตร์และศิลปศาสตร์ ตัววิหารมีความกว้าง 250 ฟุต ยาว 380 ฟุต และสูง 161 ฟุต (49 ม.) เมื่อการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ วัดนี้จะกลายเป็นวัดฮินดูที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก ได้รับการออกแบบในสไตล์คุรชารา-จอลุกยะ (Gurjara-Chaulukya) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมวัดฮินดูประเภทหนึ่งที่พบในอินเดียตอนเหนือเป็นหลัก แบบจำลองของวัดที่เสนอนี้ได้รับการจัดแสดงในช่วงพิธีกุมภเมลาในปี ค.ศ. 2020

โครงสร้างหลักของวัด สร้างขึ้นบนยกพื้นสูงสามชั้น มีมณฑป 5 องค์อยู่ตรงกลางครรภคฤหะ (สถานศักดิ์สิทธิ์) และบริเวณทางเข้า อาคารจะมีทั้งหมด 366 เสา เสาเหล่านี้จะมีเทวรูป 16 องค์ แต่ละเสาประกอบด้วยอวตารของพระศิวะ ทศาวตาร 10 รูป จอสัฐโยคินี 64 รูป และอวตารของพระแม่สรัสวดี 12 รูป ความกว้างของบันไดคือ 16 ฟุต (4.9 ม.) ตามพระคัมภีร์ที่ว่าด้วยการออกแบบวัดที่อุทิศถวายพระวิษณุ ห้องครรภคฤหะจะเป็นทรงแปดเหลี่ยม

วัดถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ 10 เอเคอร์ (25 ไร่เศษ) และพื้นที่ 57 เอเคอร์ (ประมาณ 144 ไร่) ได้รับการพัฒนาให้เป็นอาคารที่มีห้องสวดมนต์ ห้องบรรยาย สถานศึกษา และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ รวมถึงพิพิธภัณฑ์และโรงอาหาร ตามที่คณะกรรมการวัดระบุว่า วัดนี้รองรับผู้เข้าสักการะและเยี่ยมชมได้ถึง 70,000 คนในคราวเดียว

บริษัทลาร์เซนและทูโบร (Larsen & Toubro) ได้เสนอตัวดูแลการออกแบบและก่อสร้างวัดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และกลายเป็นผู้รับเหมาของโครงการนี้ สถาบันวิจัยอาคารกลาง สถาบันวิจัยธรณีฟิสิกส์แห่งชาติ และสถาบัน IIT ของบอมเบย์ กูวาฮาติ และมัทราส ให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ เช่น การทดสอบดิน คอนกรีต และการออกแบบ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า งานก่อสร้างดังกล่าวนี้มีความสำคัญระดับชาติทีเดียว

งานก่อสร้างสำเร็จด้วยหินทราย 600,000 ลูกบาศก์ฟุต (17,000 ลูกบาศก์เมตร) จากมลรัฐราชสถาน การก่อสร้างพระวิหารไม่มีการใช้เหล็กเลย และการหลอมบล็อกหินต้องใช้แผ่นทองแดงถึงหนึ่งหมื่นแผ่น

สำหรับความเคลื่อนไหวสำคัญเชิงวัฒนธรรมที่ผู้ฟังควรรับทราบอย่างยิ่งคือ ประเทศไทยได้มีส่วนร่วมเชิงสัญลักษณ์ในพิธีเปิดรามมณเฑียรด้วยการส่งดินไปยังรามชันมภูมิด้วย จากที่ก่อนหน้านี้เคยส่งน้ำจากแม่น้ำสองสายในประเทศไทยไปร่วมสักการะมาแล้วครั้งหนึ่ง

(กล่าวสรุปความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมผ่านเรื่องรามายณะและรามเกียรติ์)
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ